ศึกแดงเดือดที่มีชัยชนะและศักดิ์ศรีเป็นเดิมพัน

ศึกแดงเดือดที่มีชัยชนะและศักดิ์ศรีเป็นเดิมพัน
ในที่สุด เกมที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง กับศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัด "วันแดงเดือด" ลิเวอร์พูล ปะทะ แมนฯ ยูไนเต็ด ในวันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม เวลา 23.30 น. ตามเวลาในประเทศไทย

แน่นอนว่าการเจอกันระหว่างสองทีมนี้เป็นเกมที่มีความหมายเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูกาลนี้ ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เอาชนะไปได้ก่อนในครั้งแรกที่เจอกันช่วงต้นฤดูกาลที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อวันที่ 22 สิงหาคมปีที่แล้ว โดยตอนนั้นยังเป็นแค่เกมพรีเมียร์ลีกนัดที่ 3 เท่านั้น และเป็นฝั่งปีศาจแดงที่เอาชนะไปได้ก่อนด้วยสกอร์ 2-1 จากประตูของ เจดอน ซานโช่ และ มาร์คัส แรชฟอร์ด ขณะที่หงส์แดง ตีไข่แตกได้ในช่วงท้ายเกมจาก โมฮาเหม็ด ซาลาห์

ในเกมนัดนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ยุคใหม่ที่มี เอริค เทน ฮาก เป็นกุนซือ เริ่มส่งสัญญาณว่าพวกเขาไม่ใช่ทีมเดิมที่ ลิเวอร์พูล เคยเอาชนะได้ง่ายๆ เหมือนเมื่อฤดูกาลก่อนอีกต่อไป สิ่งที่เคยเป็นจุดอ่อนของ แมนฯ ยูไนเต็ด ค่อยๆ ถูกปรับแก้โดยกุนซือชาวดัตช์ ทั้งทีมเวิร์คที่มีมากขึ้นกว่าเดิม การเคลื่อนที่ที่มากขึ้น และจิตใจที่มีความต้องการที่จะเอาชนะ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ หาได้ยากไม่ว่าจะเป็นในยุคของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ต่อเนื่องมาจนถึงช่วงที่ ราล์ฟ รังนิค เป็นกุนซือชั่วคราว

การเจอกันขบวนแรก เห็นได้ชัดว่าทีมปีศาจแดงเล่นได้ดีกว่า และสมควรเป็นผู้ชนะ และจากเกมนั้นเป็นต้นมา แมนฯ ยูไนเต็ด ของ เทน ฮาก ได้ใช้เป็นบันไดต่อยอดในเรื่องของความมั่นใจ จนทำให้พวกเขาชนะในเกมลีกต่อเนื่อง 4 นัดติดต่อกัน ทั้งๆ ที่ช่วงออกสตาร์ท 2 เกมแรกจบลงด้วยความพ่ายแพ้ให้กับทีมที่เป็นรองกว่าทั้ง ไบรท์ตัน และ เบรนท์ฟอร์ด

แม้ว่าในเวลาต่อมา แมนฯ ยูไนเต็ด จะถูก แมนฯ ซิตี้ ถล่มขาดลอย 6-3 แต่พวกเขาก็ไม่ได้สะทกสะท้าน กลับเดินหน้าทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง โดยหลังจากที่แพ้ให้กับคู่ปรับร่วมเมือง ทีมปีศาจแดงแพ้อีกแค่เกมเดียวในอีก 12 เกมลีกต่อจากนั้น แถมยังชนะได้ถึง 8 เกม โดยเคยมีช่วงเวลาที่ชนะ 5 เกมติดต่อกัน นั่นจึงทำให้จากที่เคยจมอยู่ท้ายตารางในช่วงแรก แมนฯ ยูไนเต็ด กลับค่อยๆ ไต่อันดับขึ้นมาจนกลายเป็นอันดับ 3 ของลีกในเวลานี้ด้วยผลงาน 49 แต้มจาก 24 นัด

ถึงแม้ว่าโอกาสที่จะไล่ตามจ่าฝูงอย่าง อาร์เซน่อล ให้ทันอาจจะยังดูเป็นเรื่องยาก แต่หลายๆ ฝ่ายก็ยังไม่กาชื่อ แมนฯ ยูไนเต็ด ออกจากสารบบของทีมที่มีลุ้นแชมป์ลีก เนื่องจากผลงานตลอดฤดูกาลนี้ของพวกเขานั้นโดดเด่นมากจริงๆ ไม่เพียงแต่ในพรีเมียร์ลีก แต่ยังรวมไปถึงฟุตบอลถ้วยอย่าง คาราบาว คัพ ที่เป็นแชมป์ไปแล้ว และเอฟเอ คัพ กับ ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ก็ยังอยู่ในเส้นทาง

ตัดกลับมาทางฝั่งของ ลิเวอร์พูล หลังจากแพ้ต่อ แมนฯ ยูไนเต็ด ไป ก็เริ่มเห็นปัญหาที่เกิดขึ้น นักเตะที่เข้ามาใหม่ด้วยราคามหาศาลอย่าง ดาร์วิน นูนเญซ ยังต้องการเวลาในการปรับตัว ขณะที่ปัญหานักเตะบาดเจ็บก็รุมเร้าอย่างหนัก ประกอบกับนักเตะอีกหลายคนกลับฟอร์มหดหายไปแบบดื้อๆ คล้ายกับของที่หมดอายุ โดยเฉพาะในแดนกลางอย่าง ฟาบินโญ่ และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่โรยราลงไปอย่างเห็นได้ชัด

ขณะที่แนวรับอย่าง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ แม้ว่าจะยังไม่ถึงกับฟอร์มตก แต่ก็เริ่มจะมีข้อผิดพลาดมากขึ้น ยิ่งแบ็กขวาอย่าง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง กลายเป็นบ่อน้ำมันให้ทุกทีมเจาะกันสนุกสนาน แถมส่วนใหญ่มักจะได้ผล เพราะเห็นได้ชัดเลยว่า ไอ้หนูเทรนท์มีปัญหาจริงๆ เวลาที่ต้องเล่นเกมรับเต็มตัว แตกต่างจากหลายปีที่ผ่านมาที่เขาไม่ได้ถูกกองหน้าฝั่งตรงข้ามทดสอบมากถึงขนาดนี้

ทีมหงส์แดงของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่เคยเป็นทีมที่เก่งกาจเสมอไม่ว่าจะลงเล่นในฐานะเจ้าบ้านหรือทีมเยือน กลายเป็นทีมที่เริ่มเอาแน่เอานอนอะไรไม่ค่อยได้ เหลือเชื่อที่ 8 เกมแรกในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ พวกเขาชนะได้แค่ 2 เกมเท่านั้น ที่เหลือเป็นการเสมอไป 4 และแพ้อีก 2 จากทั้งหมด 24 แต้มเต็ม พวกเขาทำคะแนนหลุดมือไปถึง 14 แต้ม ซึ่งแทบจะไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนเลยในยุคที่มี คล็อปป์ เป็นนายใหญ่

แม้จะมีช่วงที่ดูเหมือนจะกลับมาได้ แต่เดี๋ยวก็กลับมาแพ้อีกซ้ำไปซ้ำมา จนทำให้อันดับตกลงไปอยู่แถวกลางๆ ตาราง แถมแต่ละเกมที่แพ้ ก็มักจะแพ้ให้กับทีมที่พวกเขาควรจะต้องเอาชนะได้ อาทิ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์, ลีดส์ ยูไนเต็ด, เบรนท์ฟอร์ด หรือ ไบรท์ตัน เป็นต้น

ขณะเดียวกัน การเสริมทัพในตลาดนักเตะเดือนมกราคม ทั้งๆ ที่กองกลางกำลังมีปัญหาต้องได้รับการแก้ไข แต่ ลิเวอร์พูล กลับไปเลือกดึง โคดี้ กักโป กองหน้าทีมชาติเนเธอร์แลนด์มาร่วมทีมซะอย่างนั้น แถมยังซื้อแค่คนเดียว เล่นเอาเหล่า เดอะ ค็อป หลายคนควันออกหู แสดงความไม่พอใจต่อการบริหารงานของ FSG กลุ่มนายทุนชาวอเมริกันผู้เป็นเจ้าของทีมหงส์แดงกันยกใหญ่

ก่อนหน้าที่จะมาถึงเกมแดงเดือดในวันอาทิตย์นี้ น่าเหลือเชื่อที่ฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล แพ้ในลีกไปถึง 7 เกมแล้ว เรียกได้ว่าหมดลุ้นแชมป์ไปตั้งแต่เข้าสู่ปี 2023 เป็นต้นมา เพราะหลังจบฟุตบอลโลกที่กาตาร์ในเดือนธันวาคม ทีมหงส์แดงของ คล็อปป์ ก็ไม่ได้ฟอร์มดีขึ้นแต่อย่างใด พวกเขาไม่ชนะใครถึง 4 เกมติดต่อกันในลีกตลอดเดือนมกราคมไปจนถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ เพิ่งจะกลับมาดูโอเคขึ้นใน 4 เกมหลังสุดที่ไม่แพ้ใคร แถมยังชนะได้ถึง 3 นัด ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์มาจนถึงต้นเดือนมีนาคม

นั่นทำให้ตอนนี้โอกาสที่จะกลับมาลุ้นติดท็อป 4 มีความเป็นไปได้มากขึ้นอีกครั้ง หลังทำแต้มขึ้นมาที่ 39 คะแนนจากการลงเล่น 24 เกม นั่นหมายความว่าถ้าพวกเขาเปิดรังแอนฟิลด์ เอาชนะคู่ปรับตลอดกาลของพวกเขาได้ในวันอาทิตย์นี้ ลิเวอร์พูล จะมีเพิ่มเป็น 42 แต้ม ตามหลังอันดับ 4 อย่าง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เหลือแค่ 3 แต้ม และยังแข่งน้อยกว่าอีก 1 นัด

แต่ในทางกลับกัน ถ้าหากพวกเขาแพ้คาบ้านให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด นอกจากโอกาสที่จะกลับไปติดกลุ่มท็อป 4 จะยากขึ้นแล้ว ยังทำให้ทีมปีศาจแดงยังรักษาโอกาสในการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกไว้ได้ต่อไป หรือคิดแบบง่ายๆ ก็คืออย่างน้อยโอกาสที่จะไม่หลุดจากพื้นที่ท็อป 4 ก็ยิ่งสูงขึ้นอีก เพราะ แมนฯ ยูไนเต็ด จะมีเพิ่มเป็น 52 แต้ม ทิ้งห่างอันดับ 4 อย่าง สเปอร์ส ไกลถึง 7 แต้ม แถมยังแข่งน้อยกว่าอีก 1 นัด เรียกว่าได้เปรียบมหาศาล

ดังนั้น ศึกแดงเดือด ในคืนวันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคมนี้ จึงกลายเป็นเกมที่นอกจากจะเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีแล้ว ชัยชนะยังมีความสำคัญกับทั้งคู่อย่างมหาศาลมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝั่ง ลิเวอร์พูล ที่ดูจะอยากได้ 3 แต้มในเกมนี้มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด

เพราะถ้าพวกเขาชนะในเกมนี้ได้ นอกจากนี้จะขยับเข้าใกล้ สเปอร์ส มากขึ้นแล้ว การเอาชนะทีมปีศาจแดงที่ฟอร์มแกร่งมากในชั่วโมงนี้ ยังเป็นการเสริมสร้างความมั่นใจให้กับเหล่านักเตะหงส์แดงได้เป็นอย่างดี และอาจจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้พวกเขากลับมาทำผลงานได้ดีในช่วงที่เหลือของฤดูกาลนี้ก็เป็นได้

แต่อย่างไรก็ตาม หากเป็นไปในทางตรงกันข้าม ลิเวอร์พูล กลายเป็นฝ่ายที่โดน แมนฯ ยูไนเต็ด บุกมาย้ำแค้น นอกจากจะทำให้ทีมปีศาจแดงต่อยอดฟอร์มการเล่นของตัวเองได้แล้ว ยังอาจจะเป็นการทำลายความมั่นใจของ ลิเวอร์พูล และทำให้ช่วงที่เหลือของทีมหงส์แดงในปีนี้ กลายเป็นงานระดับเข็นครกขึ้นภูเขาทันทีก็ได้เช่นกัน

ศึกแดงเดือดในวันอาทิตย์นี้ จึงเป็นเกมที่แฟนบอลของทั้ง ลิเวอร์พูล และ แมนฯ ยูไนเต็ด จะพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง ซึ่งใครจะเป็นฝ่ายสมหวังไปในนัดนี้ ติดตามลุ้นกันได้ทางช่อง True Premier Football 1, 2 (ช่อง 600, 602) และทางช่อง True 4K (ช่อง 400) ตั้งแต่เวลา 23.30 น. เป็นต้นไป ที่ ทรูวิชั่นส์ ที่เดียวเท่านั้น!

True Visions

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อัปเดตข่าวล่าสุดก่อนใคร :

Website : www.truevisions.co.th

Facebook : Truevisions

Twitter : @TrueVisions

Line : @Truevisions

Youtube official : Truevisionsofficial

Instagram : Truevisionsofficial