เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือของ ลิเวอร์พูล ยอมรับว่าไม่เคยภูมิใจในตัวลูกทีมของตัวเองเท่ากับวันนี้มาก่อน หลังต้องเล่นเพียงแค่ 9 คนและแพ้ต่อ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ไป 2-1 ในช่วงนาทีสุดท้ายของการทดเวลาบาดเจ็บ ในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัดบิ๊กแมตช์ เมื่อวันเสาร์ที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา พร้อมกับชี้ว่าไม่เคยเจอการตัดสินที่ไม่ยุติธรรมขนาดนี้มาก่อน
ลิเวอร์พูล มีคิวบุกไปเยือน สเปอร์ส ในเกมพรีเมียร์ลีกเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยก่อนแข่งทั้งสองทีมมีผลงานที่ใกล้เคียงกัน สเปอร์ส มีอยู่ 14 คะแนนจาก 6 เกม ขณะที่ ลิเวอร์พูล มีอยู่ 16 แต้มจาก 6 เกมเช่นกัน ซึ่งถือเป็นการเจอกันของสองทีมที่อยู่ในกลุ่มหัวตารางด้วยกันทั้งคู่ และที่สำคัญหากว่าทีมหงส์แดงบุกชนะ สเปอร์ส ในเกมนี้ได้ พวกเขาจะขยับขึ้นไปเป็นจ่าฝูงของตารางทันที เนื่องจาก แมนฯ ซิตี้ ที่แข่งก่อนนั้นบุกไปแพ้ต่อ วูล์ฟแฮมป์ตัน ไปก่อนแล้ว
เกมในช่วงครึ่งแรกถือว่ามีความสูสีกัน ทั้งสองทีมต่างพยายามครองบอลและสร้างโอกาส แต่จุดเปลี่ยนสำคัญครั้งแรกของเกมเกิดขึ้นในนาทีที่ 26 เมื่อ เคอร์ติส โจนส์ ไปเข้าบอลอันตรายใส่ อีฟส์ บิสซูม่า ซึ่งในครั้งแรกผู้ตัดสินได้ให้ใบเหลืองแก่กองกลางลิเวอร์พูล แต่พอมีการเช็คจากวีเออาร์ ทำให้ผู้ตัดสินเปลี่ยนจากใบเหลืองเป็นใบแดงแทน นั่นทำให้ ลิเวอร์พูล เหลือผู้เล่นแค่ 10 คนทันที
อย่างไรก็ตาม แม้จะเหลือผู้เล่นแค่ 10 คน แต่ในนาทีที่ 34 ลิเวอร์พูล กลับเป็นฝ่ายส่งบอลเข้าสู่ก้นตาข่ายได้ก่อน จากจังหวะที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แทงบอลทะลุให้ หลุยส์ ดิอาซ หลุดเข้าไปยิงเสียบหน้าต่างเสาไกลอย่างสวยงาม แต่กลับถูกตัดสินจากวีเออาร์ว่าเป็นลูกล้ำหน้า ซึ่งเมื่อดูจากภาพช้าแล้วมีโอกาสสูงที่จะไม่ล้ำ แต่วีเออาร์กลับไม่มีการตีเส้นให้เห็นอย่างชัดเจนแต่อย่างใด (ซึ่งหลังจบเกมไปแล้วทีมงานผู้ตัดสินได้ออกมายอมรับว่าเป็นการตัดสินที่ผิดพลาด) นั่นทำให้สกอร์ยังเท่ากันอยู่ 0-0
เมื่อ ลิเวอร์พูล ยิงประตูขึ้นนำไม่ได้ ทำให้เป็นโอกาสของ สเปอร์ส ที่ได้ครองเกมบ้าง ก่อนที่อีก 2 นาทีต่อมา ริชาร์ลิซอน ที่ได้บอลเข้าไปกรอบเขตโทษด้านซ้าย จะปาดบอลเข้าไปกลางประตูให้ ซน ฮึง-มิน กองหน้าเกาหลีใต้จิ้มเข้าประตูไป ให้ สเปอร์ส ออกนำก่อน 1-0
อย่างไรก็ดี ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บครึ่งแรก ลิเวอร์พูล ก็ตามตีเสมอจนได้ จากจังหวะที่ โคดี้ กัคโป ได้บอลหน้ากรอบ 6 หลา ก่อนจะกลับตัวหาจังหวะยิงเข้าไปอย่างเด็ดขาด ทำให้จบครึ่งแรก สเปอร์ส เสมอกับ ลิเวอร์พูล อยู่ 1-1
เข้าสู่ครึ่งหลัง เกมของ สเปอร์ส เริ่มเหนือกว่าเนื่องจากมีผู้เล่นมากกว่า และมีโอกาสจะยิงขึ้นนำได้หลายครั้งจากลูกยิงไกลของ เจมส์ แม็ดดิสัน และลูกพักอกวอลเลย์หน้าประตูของ ซน ฮึง-มิน แต่ก็ถูก อลิสซง เบคเกอร์ โชว์ซูเปอร์เซฟ ป้องกันเอาไว้ได้ทั้งหมด ขณะเดียวกัน ลิเวอร์พูล ก็พยายามหาจังหวะโต้สวยๆ ได้หลายครั้ง แต่ก็ยังทำประตูไม่ได้เช่นกัน
จนกระทั่งนาทีที่ 68 ดีโอโก้ โชต้า ที่ถูกเปลี่ยนลงมาตั้งแต่เริ่มครึ่งหลัง แทนที่ กัคโป ที่บาดเจ็บ ไปโดนใบเหลือง 2 ใบติดๆ กัน ในนาทีที่ 68 และ 69 ทำให้ผู้ตัดสินชูใบแดงไล่ออกจากสนาม ส่งผลให้ ลิเวอร์พูล เหลือผู้เล่นเพียงแค่ 9 คนทันที ทำให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่มีทางเลือก ต้องปรับทัพด้วยการถอดกองหน้าออกหมด และส่งผู้เล่นที่ลงไปช่วยเกมรับและเก็บบอลได้อย่าง วาตารุ เอ็นโด, อิบราฮิม่า โกนาเต้, ไรอัน กราเฟนแบร์ก และ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ลงสนามแทน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะได้เปรียบเรื่องตัวผู้เล่นถึง 2 คน แต่ สเปอร์ส ก็เจาะเกมรับที่เหนียวแน่นของ ลิเวอร์พูล ไม่ได้เสียที จนกระทั่งเกมดำเนินมาถึงช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 5 ทีมไก่เดือยทองก็มาได้ประตูชัยจนได้ จากจังหวะที่ เปโดร ปอร์โร่ เข้ามาถึงริมเส้นด้านขวาและปาดบอลเข้ากลางไปโดน โฌแอล มาติป ทำเข้าประตูตัวเอง ส่งผลให้ สเปอร์ส เฉือนชนะ ลิเวอร์พูล ไปอย่างสุดมันส์ 2-1 เก็บเพิ่มเป็น 17 คะแนนขยับขึ้นรั้งรองจ่าฝูงทันที ส่วน ลิเวอร์พูล ตกลงไปอยู่อันดับที่ 4 ของตารางจากการมี 16 แต้มเท่าเดิม
หลังจบเกม คล็อปป์ ให้สัมภาษณ์ว่า เขาไม่เคยภูมิใจในตัวลูกทีมมากเท่ากับเกมในวันนี้มาก่อน พร้อมทั้งยังยอมรับว่าไม่เคยเจอการตัดสินที่บ้าคลั่งขนาดนี้ โดยกล่าวว่า "ผมไม่เคยภูมิใจกับทีมมากไปกว่าวันนี้เลย และผมก็ไม่เคยเห็นเกมไหนที่ไม่ยุติธรรมขนาดนี้มาก่อนเช่นกัน มันเป็นการตัดสินที่บ้าคลั่งมาก"
"เราทำเข้าประตูตัวเอง แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่ยากจะยอมรับ แต่ผมก็ภูมิใจในตัวลูกทีมมาก ใบแดงแรก เคอร์ติส (โจนส์) เหยียบโดนบอลก่อนที่จะลื่นไปโดนคู่แข่ง มันไม่ใช่การเข้าปะทะที่น่าเกลียดเลย ยิ่งเมื่อดูภาพช้าจะเห็นได้ชัด เขาโชคร้ายเป็นอย่างมาก"
"สำหรับในส่วนของ ดีโอโก้ โชต้า ใบเหลืองแรกไม่ควรจะเป็นใบเหลือง จากนั้นเขาก็มาโดนใบเหลืองที่สองอย่างรวดเร็ว นั่นทำให้การที่ต้องเล่นเกมป้องกันในขณะที่ผู้เล่นเอาท์ฟิลด์เหลือแค่ 8 คนจึงเป็นอะไรที่ยากมาก โฌแอล (มาติป) มีเกมรับที่โดดเด่นมากในวันนี้ แต่เขาก็แค่โชคร้ายเท่านั้น ขณะที่ลูกล้ำหน้าก็เหมือนกัน มันไม่ใช่ลูกล้ำหน้าอย่างแน่นอน พวกเขาตีเส้นผิดพลาดอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะต้องทำใจกับการตัดสินแบบนี้"
สำหรับโปรแกรมนัดถัดไปของ ลิเวอร์พูล นั้น พวกเขาจะเล่นในแอนฟิลด์ รับการมาเยือนของ อูนิยง แซงต์-ชิลลัวส์ ในเกม ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก รอบแบ่งกลุ่มนัดที่สอง วันพฤหัสบดีที่ 5 ตุลาคมนี้ ก่อนที่จะบุกไปเยือน ไบรท์ตัน ในเกมพรีเมียร์ลีก วันอาทิตย์ที่ 8 ตุลาคมต่อไป
ภาพจาก Getty Images
อัปเดตข่าวล่าสุดก่อนใคร :
Website : www.truevisions.co.th
Facebook : Truevisions
Twitter : @TrueVisions
Line : @Truevisions
Youtube official : Truevisionsofficial
Instagram : Truevisionsofficial