สื่อผู้ดีเผยปืนใหญ่เลือกราย่า เตรียมโละแรมส์เดลหลังจบซีซั่น

แม้ว่าจะมี แรมส์เดล เป็นมือหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว แต่ อาร์เซน่อล ก็ไปจัดการคว้า ราย่า มาจาก เบรนท์ฟอร์ด ในตลาดนักเตะช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา โดยเป็นสัญญาแบบยืมตัว 1 ฤดูกาล โดยที่ "เดอะ กันเนอร์ส" มีเงื่อนไขสามารถซื้อขาดได้ในช่วงซัมเมอร์ปีหน้าที่ราคา 27 ล้านปอนด์ หรือราว 1,177 ล้านบาท

ในช่วงเริ่มต้นฤดูกาลนี้่ มิเกล อาร์เตต้า กุนซือทีมปืนใหญ่ยังเลือกที่จะใช้งาน แรมส์เดล เป็นมือหนึ่งไปก่อน แต่หลังจากที่ผ่านเกมพรีเมียร์ลีกไป 4 นัด กุนซือชาวสเปนก็จัดการเปลี่ยนตัวนายทวาร โดยเลือกใช้งาน ราย่า เป็นมือหนึ่งมาตลอดนับตั้งแต่นั้น ไม่ว่าจะเป็นเกมลีก หรือว่ารายการใหญ่อย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ แรมส์เดล เริ่มกังวลถึงอนาคตของตัวเองในถิ่น เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม โดยในช่วงเบรกทีมชาติครั้งล่าสุด แรมส์เดล เคยออกมายอมรับว่า เขาต้องการกลับมาเป็นมือหนึ่งของทีมอีกครั้ง เพื่อที่จะการันตีว่าจะไม่หลุดจากทีมชาติอังกฤษ ชุดลุยศึก ยูโร 2024 ที่ประเทศเยอรมนี แม้ว่า แกเร็ธ เซาธ์เกต นายใหญ่ทีมสิงโตคำรามจะยังคงไว้วางใจให้เขามีชื่ออยู่ในทีมชาติก็ตาม

การออกมาส่งสัญญาณของ แรมส์เดล ส่งผลให้มีรายงานว่าทีมปืนใหญ่ต้องตัดสินใจว่าจะให้ใครเป็นมือหนึ่งของทีมเป็นการถาวร และรายงานข่าวจาก ฟุตบอล อินไซเดอร์ ระบุว่า อาร์เตต้า เลือกแล้วที่จะให้ ราย่า เป็นมือหนึ่งของทีมต่อจากนี้ นั่นทำให้พวกเขามีแผนที่จะปล่อยตัว แรมส์เดล ออกจากทีม เนื่องจากนักเตะก็ต้องการโอกาสในการลงเล่นมากกว่านี้

แต่กระนั้น อาร์เซน่อล จะยังไม่ปล่อย แรมส์เดล ออกจากทีมในตลาดนักเตะช่วงหน้าหนาว ในเดือนมกราคมที่จะถึงนี้ แต่จะเป็นในช่วงซัมเมอร์ปีหน้าแทน เนื่องจากซีซั่นนี้เป็นซีซั่นที่ทีมปืนใหญ่มีลุ้นที่จะคว้าความสำเร็จ หลังจากที่ในพรีเมียร์ลีกก็ยังเกาะกลุ่มหัวตารางอยู่อย่างเหนียวแน่น ขณะที่ในรายการอย่าง แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็มีลุ้นที่จะไปได้ไกลในรอบลึกๆ ดังนั้นการปล่อยผู้รักษาประตูอย่าง แรมส์เดล ออกจากทีมในช่วงปีใหม่ อาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเท่าไหร่นัก

สำหรับ แรมส์เดล วัย 25 ปี ย้ายจาก เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด มาอยู่กับทีมปืนใหญ่เมื่อช่วงหน้าร้อนปี 2020 ด้วยค่าตัว 18.5 ล้านปอนด์ หรือราว 807 ล้านบาท โดยในเวลานั้นเจ้าตัวแย่งตำแหน่งมือหนึ่งมาจาก แบร์นด์ เลโน่ นายทวารชาวเยอรมัน และลงเฝ้าเสาให้ อาร์เซน่อล มาแล้วทั้งสิ้น 84 เกมรวมทุกรายการ พร้อมกับช่วยให้ทีมเอาชนะจุดโทษ แมนฯ ซิตี้ 4-1 คว้าแชมป์ เอฟเอ คอมมูนิตี้ ชิลด์ ในปีนี้มาครองได้สำเร็จ