ใครจะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก เมื่อม้าแข่งเหลือเพียงแค่สองตัว

ใครจะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก เมื่อม้าแข่งเหลือเพียงแค่สองตัว
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ผ่านมาแล้ว 22 เกมโดยประมาณ อาจจะมีบางทีมที่เล่นนัดที่ 23 ไปแล้ว ในขณะที่บางทีมอาจจะเล่นไปเพียง 17 หรือ 19 นัด สาเหตุก็เป็นเพราะเจอพิษโควิด-19 ทำให้โปรแกรมการแข่งขันบางเกมต้องถูกเลื่อนออกไปอย่างช่วยไม่ได้

อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านหลักครึ่งฤดูกาลมาได้นิดหน่อย ถึงตรงนี้เราพอจะอนุมานได้เหมือนกันว่า การลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกอาจจะเหลือม้าแข่งเพียงแต่สองตัวเท่านั้น ซึ่งก็คือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล


สาเหตุที่ต้องพูดแบบนั้นก็เป็นเพราะว่าตอนนี้ เชลซี ซึ่งก่อนหน้านี้ถือว่าเป็นม้าตัวที่สาม น่าจะหลุดวงโคจรในการลุ้นแชมป์ไปแล้วเรียบร้อย แม้ว่าฤดูกาลนี้จะยังเหลืออีก 15 เกม (จำนวนนัดที่เหลือของ เชลซี) แต่การตามหลังจ่าฝูงอย่าง ซิตี้ 12 แต้ม แถมยังแข่งมากกว่า 1 นัด น่าจะยากเกินไปแล้วสำหรับทีมสิงโตน้ำเงินครามที่จะไล่ตามได้ทัน


นั่นเป็นเพราะว่าในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ยังไม่เคยมีใครที่ตามหลังจ่าฝูงมากกว่า 12 แต้มแล้วสามารถคัมแบ็กกลับมาแย่งแชมป์ลีกไปครองได้ ไกลที่สุดที่เคยทำได้คือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 1995-96 ในปีนั้นทีมปีศาจแดงถูก นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ของ เควิน คีแกน ทิ้งไปไกลถึง 12 แต้มในช่วงเดือนมกราคม 1996 หรือก็คือช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับที่เป็นอยู่ในตอนนี้


สถานการณ์ในตอนนั้นไม่มีใครคิดว่า นิวคาสเซิ่ล จะทำถ้วยแชมป์หลุดมือแน่ เพราะเป็นปีที่ทีมสาลิกาดงเล่นได้อย่างสุดยอดจริงๆ แถมยังมีขุมกำลังที่แข็งแกร่ง ใครที่ทันดูฟุตบอลในยุคนั้นคงจะทราบกันดี


ลองมองไปที่ทีมชุดนั้น ประกอบไปด้วยผู้รักษาประตูอย่าง พาเวล เซอร์นิเช็ค และ ชาก้า ฮิสล็อป แนวรับก็อย่างเช่น ฟิลิปป์ อัลแบร์, สตีฟ ฮาววี่ย์, วอร์เรน บาร์ตัน, ร็อบบี้ เอลเลียตต์, จอห์น เบเรสฟอร์ด แดนกลางก็อย่าง โรเบิร์ต ลี, ปีเตอร์ เบียร์ดส์ลี่ย์, ลี คล้าร์ก, เดวิด แบ็ตตี้, ดาวิด ชิโนล่า, คีธ กิลเลสพี และกองหน้าอย่าง เลส เฟอร์ดินานด์ และ ฟาอุสติโน่ อัสปริย่า เรียกได้ว่าแกร่งทั่วแผ่น


อย่างไรก็ตาม เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นท่านเซอร์ เล่นสงครามจิตวิทยาใส่ คีแกน ในตอนที่การแย่งแชมป์เริ่มที่งวดเข้ามาทุกขณะว่า บรรดาทีมที่เป็นรองอย่าง ลีดส์ ยูไนเต็ด หรือ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ คงจะไม่พยายามสู้อย่างเต็มที่เวลาเจอกับ นิวคาสเซิ่ล ไม่เหมือนกับเวลาที่เจอกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ยกตัวอย่างเช่น ฟอเรสต์ ที่มีกำหนดการจะเล่นเกมเทสติโมเนี่ยล แมตช์ ของ สจ๊วร์ต เพียร์ซ โดยมีคู่แข่งเป็น นิวคาสเซิ่ล อาจจะยอมปล่อยให้ทีมสาลิกาดงเอาชนะก็เป็นได้ คำพูดดังกล่าวนั้นทำให้ คีแกน ไม่พอใจสุดๆ


หลังจากที่ นิวคาสเซิ่ล เฉือนชนะ ลีดส์ ไปได้แบบหืดขึ้นคอ 1-0 ในวันที่ 29 เม.ย. 1996 ตอนนั้นพวกเขาเหลือเกมอีกเพียง 2 นัดสุดท้าย นั่นคือการเจอกับ ฟอเรสต์ และ สเปอร์ส ขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เหลือโปรแกรมนัดสุดท้ายรออยู่ คือการไปเยือน มิดเดิ้ลสโบรซ์ ในตอนนั้นเองที่ คีแกน ไปออกรายการของ สกาย สปอร์ตส์ และตอบโต้คำพูดของเฟอร์กี้อย่างเผ็ดร้อน หลังถูกถามว่าคำพูดของกุนซือปีศาจแดงเป็นส่วนหนึ่งของสงครามจิตวิทยาหรือไม่นั้น


"ไม่เลย ไม่... เมื่อคุณทำแบบนั้นกับนักฟุตบอล ในแบบที่เขา (เฟอร์กี้) พูดถึงทีมอย่าง ลีดส์ และเมื่อคุณทำแบบนั้นกับคนอย่าง สจ๊วร์ต เพียร์ซ ผมจะไม่มีทางพูดอะไรแบบนี้แน่ แต่ผมจะบอกอะไรให้นะ เขาทำให้ผมประเมินตัวเขาต่ำลงเมื่อเขาพูดอะไรแบบนั้น"


"เราไม่มีทางใช้วิธีการแบบนั้นแน่ แต่ผมจะบอกคุณเลยนะ คุณไปบอกเขาตอนนี้ได้เลยหากว่าคุณดูอยู่ เรายังคงต่อสู้เพื่อจะแชมป์นี้ และเมื่อเขาต้องไปเจอกับ มิดเดิ้ลสโบรซ์ เขาต้องได้รับบทเรียนอะไรบางอย่างแน่ และผมจะบอกคุณไว้ตรงนี้เลยนะ ด้วยความสัตย์จริง ผมจะมีความสุขโคตรๆ ถ้าเราชนะพวกเขาได้"


ตอนที่ คีแกน สัมภาษณ์กับ สกาย สปอร์ตส์ นั้น นิวคาสเซิ่ล มีอยู่ 76 แต้ม ขณะที่เหลือเกมในมือ 2 นัด ส่วน แมนฯ ยูไนเต็ด มี 79 แต้ม และเหลือเกมนัดสุดท้าย ซึ่งถ้าต่างฝ่ายต่างชนะในเกมที่เหลือทั้งหมด จะมี 82 คะแนนเท่ากัน แต่ทีมปีศาจแดงมีผลต่างประตูได้เสียที่ดีกว่า แต่ใครจะรู้ บางที แมนฯ ยูไนเต็ด อาจจะพลาดท่าในวันสุดท้ายแล้วถูกแซงก็เป็นได้...


แต่ในความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้น 2 นัดสุดท้ายของ นิวคาสเซิ่ล พวกเขาตกม้าตาย เมื่อเสมอ 1-1 ทั้งหมด ขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด บุกไปอัด เดอะ โบโร่ ขาดลอย 3-0 คว้าแชมป์ไปครองในปีนั้นอย่างยิ่งใหญ่ โดยมีแต้มทิ้งห่าง นิวคาสเซิ่ล ผู้เคยนำห่าง 12 แต้มเมื่อตอนเดือนมกราคมถึง 4 แต้ม


นั่นคือประวัติศาสตร์ การตามหลังกลับมาเป็นแชมป์ได้ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในปีดังกล่าวคือการตามไกลที่สุดแล้วของพรีเมียร์ลีก ถ้ามากกว่านั้นยังไม่เคยมีใครทำได้


เราข้ามเวลากลับมาที่ปัจจุบัน เชลซี ผู้ซึ่งเคยตาม แมนฯ ซิตี้ เมื่อสัปดาห์ก่อนถึง 13 แต้ม ตอนที่แข่ง 22 นัดเท่ากัน ถือได้ว่าเกินจากที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เคยทำได้ ดังนั้นถ้าว่ากันตามสถิติก็ถือว่า เชลซี น่าจะหมดลุ้นแชมป์ไปแล้ว เว้นเสียแต่ว่าปีนี้พวกเขาจะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ขึ้นมา


ดังนั้น คงเหลือแต่ ลิเวอร์พูล แล้วเท่านั้นที่ยังพอจะมีลุ้นอยู่ แม้ว่าจะเป็นอะไรที่ค่อนข้างยากพอควรก็ตาม เพราะตอนนี้ทีมหงส์แดงตามหลัง ซิตี้ อยู่ 11 แต้ม แต่แข่งน้อยกว่า 1 นัด ไม่ใช่ความห่างที่จะสามารถบอกได้ว่าจะไล่ตามทันได้ง่ายๆ เลย


ยิ่งเราดูฟอร์มของ แมนฯ ซิตี้ ในตอนนี้ ก็ยิ่งยากเข้าไปอีก เพราะทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า แทบจะไม่พลาดง่ายๆ เลย พวกเขาชนะในลีกติดต่อกันมา 12 เกมแล้ว และการรันก็น่าจะยังคงดำเนินต่อไปเมื่อเราดูคู่แข่งของพวกเขาในวันเสาร์นี้ นั่นคือ เซาธ์แฮมป์ตัน ที่ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรขนาดนั้น


มองต่อไปอีกสองเกม คือการเล่นในบ้านพบ เบรนท์ฟอร์ด และออกไปเยือน นอริช ซิตี้ เมื่อดูจากคู่แข่งแล้ว บางที ซิตี้ อาจจะชนะได้ถึง 15 เกมติดต่อกันเลยก็เป็นได้


แล้วแบบนี้ ลิเวอร์พูล จะยังมีลุ้นอยู่หรือไม่ คำตอบก็คือ "ยังมีอยู่" เพียงแต่ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะต้องไม่พลาดอีกเลยต่อจากนี้ และถ้าหากเก็บนัดตกค้างจนกระทั่งแข่งเท่ากันกับ ซิตี้ ได้แล้ว พวกเขาจะเหลือแต้มตามหลัง 8 คะแนน


จากนั้นในวันที่เจอกันเอง ซึ่งโปรแกรมระบุไว้ว่า ลิเวอร์พูล ต้องไปเยือน แมนฯ ซิตี้ ในวันที่ 9 เม.ย. ถ้าตอนนั้นความห่างยังอยู่ที่ 8 แต้มเท่าเดิม ลิเวอร์พูล ต้องชนะในเกมวันนั้นให้ได้ เพื่อให้แต้มลดลงมาเหลือเพียง 5 คะแนน


ในวันนั้นจะเหลือโปรแกรมอีกเพียง 6 นัด ถ้า ลิเวอร์พูล ทำได้ตามที่บอก ตรงนั้นแหละถึงจะเป็นการเปิดประตูโอกาสในการแย่งแชมป์ของจริง เพราะช่องว่าง 5 คะแนนจาก 6 เกม อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้แล้ว


แต่ถ้าหากไม่เป็นไปตามนั้น ระหว่างทางต่อจากนี้ ไม่ต้องมองไกลมาก สมมติว่า แมนฯ ซิตี้ บุกชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน ได้ในวันเสาร์ ขณะที่ ลิเวอร์พูล ไม่ชนะ คริสตัล พาเลซ ในวันอาทิตย์นี้ ทีมเรือใบจะทำแต้มห่างจากหงส์แดงเพิ่มเป็น 13 คะแนนทันที แม้จะแข่งน้อยกว่า 1 นัด แต่ดูจากความห่างของคะแนนแล้ว คงจะยากเกินไปที่ ลิเวอร์พูล จะไล่ตามได้ทัน


ดังนั้น แม้ว่าจะเหลือม้าแข่งเพียงแค่สองตัวในการไล่ล่าแชมป์พรีเมียร์ลีก แต่ความได้เปรียบของ แมนฯ ซิตี้ นั้นมีมากเหลือเกิน ถ้าจะมีใครไล่ตามได้ทัน นอกจากผู้ไล่ตามจะต้องห้ามพลาดแล้ว ยังต้องหวังพึ่งปาฏิหาริย์ให้ แมนฯ ซิตี้ แพ้ติดๆ กัน 3-4 เกมด้วย


ซึ่งถ้าดูจากฟอร์มตอนนี้แล้ว แทบจะมองไม่เห็นเลยว่าทีมของ กวาร์ดิโอล่า จะแพ้ติดต่อกันขนาดนั้นได้อย่างไร...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อัปเดตข่าวล่าสุดก่อนใคร :

Website : www.truevisions.co.th

Facebook : Truevisions

Twitter : @TrueVisions

Line : @Truevisions

Youtube official : Truevisionsofficial

Instagram : Truevisionsofficial