คล็อปป์ดีใจฟุตบอลมีสองครึ่ง ชมโอริกี้คือตำนานหงส์ตลอดไป

ในเกมนัดดังกล่าว ลิเวอร์พูล ต้องลงสนามด้วยความกดดัน เนื่องจากต้องบังคับเอาชนะ เอฟเวอร์ตัน ให้ได้เพียงสถานเดียวเท่านั้น หากต้องการจะมีลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกต่อไป หลังจากที่ แมนฯ ซิตี้ เอาชนะไปได้ดก่อนเมื่อวันเสาร์จนทำให้แต้มทิ้งห่างออกไป 4 คะแนน ขณะเดียวกัน เอฟเวอร์ตัน เองก็กำลังหนีตกชั้นอย่างหนัก และต้องการคะแนนเพื่อความอยู่รอดเช่นกัน

เกมในครึ่งแรกถือว่าเป็นเกมที่อึดอัด ลิเวอร์พูล แม้ว่าจะได้เล่นในบ้าน แต่หาจังหวะยิงให้ตรงกรอบไม่ได้เลยสักครั้ง ขณะที่ เอฟเวอร์ตัน ก็เล่นเกมรับเต็มสูบ พร้อมกับพยายามเล่นให้ช้าเพื่อถ่วงเวลา ทำให้จบ 45 นาทีแรกยังทำอะไรกันไม่ได้ เสมอกัน 0-0

ครึ่งหลัง ลิเวอร์พูล พยายามเดินเกมรุกอย่างต่อเนื่อง และเมื่อเกมผ่านไป 60 นาที คล็อปป์ ก็แก้แท็คติกได้ด้วยการส่ง ดิว็อค โอริกี้ และ หลุยส์ ดิอาซ ลงมา แทนที่ ซาดิโอ มาเน่ และ นาบี เกอิต้า ก่อนที่จะได้ผล เพราะเพียง 2 นาทีหลังจากนั้น ทีมหงส์แดงก็ออกนำ 1-0 จาก แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ทำให้คลายความกดดันทันที ก่อนที่จะมาได้ประตูตอกย้ำชัยชนะในนาทีที่ 85 จากการยิงของ โอริกี้ ทำให้จบเกม ลิเวอร์พูล เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน ไปได้ 2-0 ไล่จี้ แมนฯ ซิตี้ เหลือเพียง 1 คะแนนตามเดิม

หลังจบเกม คล็อปป์ กล่าวด้วยความพอใจว่า "ขอบคุณพระเจ้าที่ฟุตบอลมีสองครึ่งเวลา ครึ่งแรกเราเล่นได้ไม่ดีเลย เกมมันน่าอึดอัดและเป็น เอฟเวอร์ตัน ที่ทำให้เป็นแบบนั้น แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเราพาบอลเข้าไปในพื้นที่สุดท้ายไม่ได้เองด้วย"

"เรายังเคลื่อนที่ได้ไม่มากพอ เราต้องเจอกับคู่ต่อสู้ที่ถอยเข้าไปอยู่ในแนวรับถึง 9 คน ทำให้ครึ่งหลังเราเปลี่ยนมาเล่นแบบไดเร็คท์ ฟุตบอล มากขึ้น เพื่อสร้างปัญหาให้กับ เอฟเวอร์ตัน และประตูนั้นก็ยอดเยี่ยมมาก"

"เรามีความเยือกเย็น และการเปลี่ยนตัวก็ช่วยเราได้มาก คนที่ลงไปมีความสด และมีวิธีการเล่นที่แตกต่าง จึงทำให้ เอฟเวอร์ตัน ต้องเจอกันงานที่ยากขึ้น"

ขณะเดียวกัน คล็อปป์ ยังกล่าวชม โอริกี้ ที่ลงมาเป็นตัวสำรองก่อนจะช่วยพลิกเกม และเป็นคนยิงประตูที่สองในเกมนี้ โดยกล่าวว่า โอริกี้ จะเป็นตำนานของ ลิเวอร์พูล ตลอดไป

"หากว่าเขาย้ายจากเราไป เขาก็จะไประเบิดฟอร์มกับที่อื่นได้แน่ ดิว็อค คือกองหน้าระดับโลก และเขาจะเป็นตำนานของเราตลอดไป เขาอาจจะไม่ได้มีชื่ออยู่ในทีมตลอด แต่เขาจะอยู่ที่นั่นเสมอเมื่อเราต้องการ ทุกสิ่งที่เราทำได้ในครึ่งหลัง ถ้าหากไม่มีเขามันก็คงไม่เกิดขึ้น"