แมนฯ ซิตี้ โชว์ความยอดเยี่ยมอีกครั้ง เมื่อจัดการบุกไปเอาชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน อย่างขาดลอย 5-1 ทำให้พวกเขายังคงนำเป็นจ่าฝูงของพรีเมียร์ลีกต่อไป โดยมีแต้มทิ้งห่าง ลิเวอร์พูล 3 คะแนน และที่สำคัญ ยังมีผลต่างประตูได้เสียที่ดีกว่าถึง 7 ลูก ในขณะที่เหลือโปรแกรมการแข่งขันอีกเพียงแค่ 2 เกมเท่านั้น
ในเกมนี้ เควิน เดอ บรอยน์ โชว์ความเหนือชั้นด้วยการทำคนเดียว 4 ประตู แถมยังทำท่าดีใจแบบเดียวกันกับ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ อีกด้วย ถือเป็นการส่งสัญญาณไปยังว่าที่เพื่อนร่วมทีมคนใหม่ ที่กำลังจะย้ายมาร่วมงานกันที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม ในฤดูกาลหน้า
ทุกวันนี้ เกมรุกของ แมนฯ ซิตี้ ก็โหดจัดๆ อยู่แล้ว ขนาดปีนี้ไม่มีกองหน้าตัวเป้าแบบโป้งปิดบัญชีในทีม แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายิงไปแล้ว 94 ประตูจาก 36 เกม แล้วในฤดูกาลหน้า ลองจินตนาการดูว่ามี เดอ บรอยน์ เป็นจอมทัพ คอยเปิดป้อนให้กับ ฮาแลนด์ ถล่มประตูคู่แข่ง แค่คิดก็เป็นอะไรที่น่าสยองขวัญสุดๆ
แน่นอนว่าการตกรอบรองชนะเลิศในรายการสำคัญอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ย่อมนำมาซึ่งความผิดหวังให้กับคนที่เกี่ยวข้องกับ แมนฯ ซิตี้ ทุกหมู่เหล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ไม่เคยปิดบังว่าการพาทัพเรือใบคว้าแชมป์ในรายการนี้ให้ได้ ถือเป็นเป้าหมายที่เขาอยากจะทำให้สำเร็จมากที่สุด
แต่การไปไม่ถึงดวงดาวใน แชมเปี้ยนส์ ลีก คือสิ่งที่จะนำมาตัดสินว่า แมนฯ ซิตี้ ภายใต้การคุมทีมของ กวาร์ดิโอล่า คือทีมที่ล้มเหลว หรือว่าไม่ดีพอหรือไม่ ก็คงไม่สามารถพูดแบบนั้นได้เช่นกัน
เพราะผลงานในพรีเมียร์ลีกเป็นอะไรที่แจ่มชัด การตกรอบจากถ้วยบิ๊กเอียร์ ไม่ได้ทำให้พวกเขาเสียสมาธิหรือมีผลกระทบต่อฟอร์มการเล่นเลย ตรงกันข้ามกลับทำให้พวกเขายิ่งเน้นมากขึ้นไปกว่าเดิมอีก
หลังพ่าย เรอัล มาดริด ในเกมรอบตัดเชือกนัดที่สอง แมนฯ ซิตี้ ก็กลับมาเดินเครื่องในเกมลีกได้อย่างต่อเนื่อง สองเกมที่ผ่านมาพวกเขายิงไปถึง 10 ประตูเน้นๆ หลังเอาชนะ นิวคาสเซิ่ล ขาดลอย 5-0 ต่อด้วยการบุกไปถล่ม วูล์ฟส์ อีก 5-1 ในเกมเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา
และถ้านับเฉพาะในเกมลีกเพียงอย่างเดียว แมนฯ ซิตี้ ไม่แพ้ใครมา 10 เกมติดต่อกันแล้ว แถมยังชนะต่อเนื่องมาใน 5 เกมหลังสุด ยิงกระจุยไปถึง 27 ประตู เสียไปเพียงแค่ 5 ลูกเท่านั้น
คะแนนอาจจะทิ้งห่าง ลิเวอร์พูล ที่ก็มีฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมเช่นกันไม่มาก เพียง 3 แต้มเท่านั้น แต่ก็ต้องยอมรับจริงๆ ว่า แมนฯ ซิตี้ มีฟอร์มการเล่นที่แทบจะไร้เทียมทานจริงๆ
ยิ่งช่วงหลังๆ จะสังเกตเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะเล่นก่อนหรือเล่นหลังจาก ลิเวอร์พูล พวกเขาแทบจะไม่เจอแรงกดดันเลย เหมือนแข่งกับตัวเอง และไม่ได้สนใจว่าตอนนี้แต้มจะห่างจาก ลิเวอร์พูล เท่าไหร่ พวกเขาแค่ชนะต่อไปเรื่อยๆ เท่านั้น แถมยังยิงคู่แข่งแบบถล่มทลาย
ชัยชนะเหนือ วูล์ฟส์ ในเกมนี้ อาจจะยังไม่ได้ทำให้การขับเคี่ยวแย่งแชมป์ระหว่าง ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล จบลงแล้วก็จริง แต่มันแสดงให้เห็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วว่าทุกอย่างกำลังจะจบลงในไม่ช้า
ลิเวอร์พูล มีความเสียเปรียบค่อนข้างมาก ตรงที่พวกเขากรำศึกหนักมาตลอด การมีลุ้นแชมป์ 4 รายการเป็นเหมือนดาบสองคม โอกาสที่จะทำสำเร็จนั้นยากมากๆ อยู่แล้ว แต่การที่ ลิเวอร์พูล มีลุ้นจนถึงวันสุดท้ายทุกรายการ มันทำให้ฤดูกาลนี้ เหล่านักเตะหงส์แดงต้องลงสนามมากถึง 63 เกม หากว่านัดสุดท้ายของพวกเขาคือการเจอกับ เรอัล มาดริด ในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ วันที่ 28 พฤษภาคม
ในระยะหลัง 3-4 เกมที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล ยังคงมาตรฐานการเล่นที่ดีเยี่ยมอยู่ แต่จะสังเกตได้ว่าการยิงประตูเริ่มจะยากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าชนะก็ชนะได้ไม่ขาด แถมมักยิงประตูได้แค่ในช่วงครึ่งหลัง ขณะที่ครึ่งแรกอาจต้องตกเป็นฝ่ายตามหลัง หรือไม่ก็ยังทำได้แค่เสมอ 0-0
นั่นแปลว่าในทุกๆ เกม ลิเวอร์พูล ต้องออกแรงค่อนข้างมากกว่าที่เอาคู่ต่อสู้ลงไปกองได้ น้อยเกมที่จะเล่นได้แบบสบายๆ ออกนำแบบชิวๆ ตั้งแต่ช่วงครึ่งแรก การเจอกับเกมแบบนี้บ่อยๆ ย่อมต้องส่งผลต่อสภาพร่างกาย อีกทั้งยังเล่นแทบจะทุกๆ 3 วัน ต่อให้เป็นคนที่แข็งแรงแค่ไหนก็ย่อมมีอาการอ่อนล้าแน่นอน
นั่นจึงเป็นที่มาว่า บางที การลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกของ ลิเวอร์พูล อาจจะกำลังจบลงแล้ว ซึ่งในเกมนัดถัดไป หรือนัดที่ 37 นี่แหละ อาจจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าทุกอย่างมันจบลงแล้วหรือยัง
ในวันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคมนี้ ลิเวอร์พูล มีคิวต้องลงเล่นเกมเอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ พบกับ เชลซี ทำให้ แมนฯ ซิตี้ จะได้ลงเล่นเกมลีกนัดที่ 37 ก่อน ในวันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคมนี้ ด้วยการออกไปเยือน เวสต์แฮม ยูไนเต็ด
หากว่าทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า บุกไปเอาชนะขุนค้อนได้ พวกเขาจะนำ 6 แต้ม และผลต่างประตูได้เสียที่มากกว่า ลิเวอร์พูล เกิน 7 ลูกขึ้นไป อาจจะเป็น 8, 9 หรือ 10 ไม่มีทางรู้ แต่ถ้าดูจากฟอร์มของ ซิตี้ ในช่วงนี้ มันก็มีโอกาสสูงที่พวกเขาจะบุกไปยิง เวสต์แฮม ได้มากกว่าหนึ่งประตู
หลังจากนั้น ลิเวอร์พูล ถึงจะมีคิวลงเล่นเกมลีกนัดรองสุดท้าย ในวันที่ 17 พฤษภาคม หรือก็คือ 3 วันให้หลังจากเกมเอฟเอ คัพ (พักแค่ 2 วัน) ด้วยการออกไปเยือน เซาธ์แฮมป์ตัน
แน่นอนว่าไม่ใช่เกมที่ยากอะไรมากมายนักสำหรับหงส์แดง หากมองจากมาตรฐานที่แตกต่างกันของทั้งสองทีม แต่จากการที่ต้องลงเล่นถี่มาก และเป็นเกมที่ปล่อยวางไม่ได้เลย ถ้าหากว่า ลิเวอร์พูล เอาชนะไม่ได้ สมมติว่าทำได้แค่เสมอ ทุกอย่างจะจบลงทันที หรือถ้าหากชนะด้วยสกอร์ที่ไม่ขาดลอยนัก นั่นหมายความว่าเกมนัดสุดท้ายก็อาจจะไม่เหลืออะไรให้ลุ้นแล้ว
ในเมื่อยังมีหวังอยู่ ก็ยังต้องหวัง แต่ก็ต้องยอมรับจริงๆ ว่า โอกาสของ ลิเวอร์พูล ในการที่จะกลับมาเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกนั้นยากมากๆ แล้ว ถ้าจะกลับมาได้ อาจต้องหวังพึ่งปาฏิหาริย์ ให้ แมนฯ ซิตี้ ไม่ชนะทั้งสองเกมที่เหลือ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ คงจะเป็นปีที่น่ามหัศจรรย์มากๆ สำหรับ ลิเวอร์พูล
สถานการณ์จะเป็นแบบนั้นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเกมนัดหน้าของ แมนฯ ซิตี้ จริงๆ ถ้าพวกเขาบุกไปอัด เวสต์แฮม ได้ ทุกอย่างก็น่าจะจบ เว้นเสียแต่ว่า ลิเวอร์พูล จะสามารถบุกไปถล่มนักบุญขาดลอยด้วยสกอร์ระดับ 4 หรือ 5 ลูกขึ้นไป
เพราะถ้าหากว่าผลต่างประตูได้เสียยังคงห่าง 7 ประตูแบบตอนนี้ เกมสุดท้ายต่อให้ ซิตี้ แพ้ แอสตัน วิลล่า คาบ้าน ลิเวอร์พูล ก็ยังต้องยิง วูล์ฟแฮมป์ตัน ในระดับ 6 หรือ 7 ลูกขึ้นไปอยู่ดี ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นยากมากๆ
ขึ้นชื่อว่าฟุตบอลแล้ว ทุกอย่างยังสามารถเกิดขึ้นได้ก็จริง แต่ถ้าหากว่าเกมนัดที่ 37 ไม่มีอะไรพลิกโผ บางทีในเกมนัดสุดท้าย เราอาจจะได้เห็น เจอร์เก้น คล็อปป์ ตัดสินใจพักตัวหลักเอาไว้ เพื่อเก็บแรงไปลุ้นแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ เรอัล มาดริด ก็เป็นได้ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับพวกเขา...
JOVEN
ภาพจาก Getty Images
อัปเดตข่าวล่าสุดก่อนใคร :
Website : www.truevisions.co.th
Facebook : Truevisions
Twitter : @TrueVisions
Line : @Truevisions
Youtube official : Truevisionsofficial
Instagram : Truevisionsofficial