เมื่อเรือใบสีฟ้าและหงส์แดง งัดอาวุธหนักมาประชันกัน

เมื่อเรือใบสีฟ้าและหงส์แดง งัดอาวุธหนักมาประชันกัน
มีการคาดการณ์กันว่าตลาดนักเตะของศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ช่วงซัมเมอร์นี้น่าจะมีความคึกคักไม่น้อย ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะการเสริมทัพของสองทีมที่คาดว่ากำลังอยู่ในช่วงการขับเคี่ยวแย่งกันเป็นเบอร์หนึ่งของเกาะอังกฤษในเวลานี้ อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับการคว้า เออร์ลิ่ง เบราท์ ฮาแลนด์ เครื่องจักรถล่มประตูทีมชาตินอร์เวย์มาจาก โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และ ลิเวอร์พูล ที่ตัดสินใจทุ่มงบมหาศาล 85 ล้านปอนด์เพื่อติดอาวุธชิ้นใหม่ให้กับตัวเองอย่าง ดาร์วิน นูนเญซ กองหน้าทีมชาติอุรุกวัยจาก เบนฟิก้า

การที่สองทีมนี้ซึ่งมีมาตรฐานการเล่นที่สูงมากอยู่แล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ได้หยุดพัฒนาทีม และยังเพิ่มความน่ากลัวในแนวรุกให้มากขึ้นกว่าเดิมด้วยการดึงสองกองหน้าทั้ง ฮาแลนด์ และ นูนเญซ เข้ามาเสริมทัพ ย่อมต้องทำให้ทีมอื่นๆ ต้องพยายามถีบตัวเองขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ไม่อย่างนั้นความห่างชั้นที่เดิมก็มากอยู่แล้ว อาจจะยิ่งถูกทิ้งห่างมากขึ้นไปอีก


นั่นทำให้เราน่าจะได้เห็นทีมอย่าง เชลซี, แมนฯ ยูไนเต็ด, อาร์เซน่อล และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ต้องลงตลาดเพื่อเสริมทัพให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม หากว่าไม่อยากโดน แมนฯ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล ทิ้งห่างไปมากกว่านี้


อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าบรรดาทีมดังกล่าวจะพยายามเสริมทีมเพื่อยกระดับการเล่นของตัวเองขึ้นมา แต่ยังมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงว่าการแย่งแชมป์ในฤดูกาลหน้าจะยังเป็นการแข่งขันกันระหว่างทีมเรือใบสีฟ้าและหงส์แดงอีกครั้ง


แมนฯ ซิตี้ ที่นำโดย เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มีมาตรฐานการเล่นที่สูงปรี๊ด ล้ำหน้ามากกว่าทีมใดๆ ในลีก ถ้าจะมีสักทีมที่พอจะสู้รบปรบมือได้ก็คงจะมีแค่ ลิเวอร์พูล เท่านั้น แต่สำหรับทีมอื่นๆ ที่ต้องเจอถือว่าเต็มกลืน และถ้าไม่ท็อปฟอร์มจริงๆ ส่วนใหญ่ก็เสร็จเรือใบสีฟ้าแทบจะทุกราย


ปกติพวกเขาถือเป็นทีมที่ต่อกรด้วยยาก และเอาชนะแทบไม่ได้อยู่แล้ว แต่การได้ ฮาแลนด์ เข้ามายืนเป็นหัวหอกตัวเป้าเพิ่มอีกราย ยิ่งกลายเป็นการทำให้เกมรุกที่ปกติก็น่ากลัวมากอยู่แล้ว กลายเป็นน่ากลัวมากขึ้นไปยิ่งกว่าเดิมอีกหลายเท่า


ฤดูกาลที่แล้วขนาดว่าไม่มีกองหน้าตัวเป้าธรรมชาติหลังจากที่ เซร์คิโอ อเกวโร่ อำลาทีมไป แมนฯ ซิตี้ ยังยิงได้มากถึง 99 ประตูจาก 38 เกมในลีก และถ้ามี ฮาแลนด์ มาปักหลักในตำแหน่งกองหน้า เกมรุกของพวกเขาจะยิ่งสมบูรณ์แบบมากขนาดไหน


ฮาแลนด์ มีสถิติการทำประตูที่โดดเด่นมากๆ นับตั้งแต่ที่ก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักให้กับ เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก ก็ยิงประตูได้เป็นว่าเล่น ในครึ่งแรกของฤดูกาล 2019-20 ฮาแลนด์ที่ตอนนั้นอายุแค่ 19 ปี ยิงไปถึง 28 ประตูจากการลงสนาม 22 เกมในทุกรายการ นั่นทำให้ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ รีบตัดหน้า แมนฯ ยูไนเต็ด ดึง ฮาแลนด์ ไปร่วมทัพในช่วงตลาดฤดูหนาวปีนั้นด้วยค่าตัวเพียง 20 ล้านยูโร


และแน่นอนว่าการลงทุนของทีมเสือเหลืองนั้นคุ้มแสนคุ้ม เนื่องจาก ฮาแลนด์ ยิงประตูในศึกบุนเดสลีกา เยอรมัน ได้อย่างถล่มทลาย ตลอด 2 ฤดูกาลครึ่งที่เล่นในถิ่น ซิลนัล อิดูน่า พาร์ค กองหน้าทีมชาตินอร์เวย์ยิงประตูได้ในค่าเฉลี่ยที่น่าทึ่ง เมื่อจัดการสอยตาข่ายไปถึง 86 ประตูจากการลงสนาม 89 เกมในทุกรายการ


ครึ่งปีแรกที่ย้ายมายิงไป 16 ประตูจาก 18 เกม จากนั้นในฤดูกาล 2020-21 ซึ่งเป็นปีแรกที่เจ้าตัวได้เล่นเต็มๆ ซีซั่นกับ ดอร์ทมุนด์ ก็ถล่มไปอีก 41 ตุงจากทั้งหมด 41 เกม!


ในฤดูกาลที่ผ่านมาซึ่งเป็นฤดูกาลสุดท้ายของ ฮาแลนด์ กับ ดอร์ทมุนด์ ขนาดว่ามีอาการบาดเจ็บจนทำให้ต้องพักไปช่วงหนึ่ง แต่จาก 30 เกมในทุกรายการที่ลงเล่น ฮาแลนด์ ยังกดไปได้อีก 29 ลูก ตัวเลขเหล่านี้จึงเป็นอะไรที่น่าทึ่งจริงๆ


จากสถิติทั้งหมดที่กล่าวมา นั่นหมายถึง ฮาแลนด์ ได้พิสูจน์ตัวเองในเวทีฟุตบอลยุโรปมาระยะหนึ่งแล้ว โดยเฉพาะการได้เล่นให้กับ ดอร์ทมุนด์ ย่อมบ่งบอกถึงคุณภาพได้ดีในระดับหนึ่ง ที่สำคัญยังมีความสำเร็จติดตัวมาด้วย เมื่อเจ้าตัวช่วยให้ทีมเสือเหลืองคว้าแชมป์ เดเอฟเบ โพคาล มาครองได้เมื่อฤดูกาล 2020-21


ดังนั้น การที่ แมนฯ ซิตี้ ได้ตัวมาในราคาค่าฉีกสัญญาเพียง 60 ล้านยูโร หรือประมาณ 51 ล้านปอนด์ จึงเป็นอะไรที่คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม แม้ว่าตามรายงานข่าวเชื่อว่า ซิตี้ น่าจะต้องจ่ายค่าเหนื่อยให้ ฮาแลนด์ สูงถึงสัปดาห์ละ 400,000 ปอนด์ ซึ่งเป็นเพดานสูงสุดของทีมในตอนนี้เทียบเท่ากับที่ เควิน เดอ บรอยน์ รับอยู่ในปัจจุบันก็ตาม แต่สำหรับเงินเพียงแค่นี้ไม่น่ากระทบอะไรต่อสภาพเศรษฐกิจของทีมเรือใบอยู่แล้ว


ขณะที่ทางฝั่ง ลิเวอร์พูล การที่พวกเขายอมทุ่มเงินมากถึง 100 ล้านยูโร หรือประมาณ 85 ล้านปอนด์เพื่อคว้าตัว ดาร์วิน นูนเญซ เข้ามาเสริมทัพ ก็เป็นอะไรที่น่าสนใจมากเช่นกัน


โดยปกติแล้ว ลิเวอร์พูล ในยุคที่มี เฟนเวย์ สปอร์ตส์ กรุ๊ป เป็นเจ้าของทีม พวกเขาจะไม่ใช้จ่ายเกินตัวหากว่าไม่ใช่เรื่องจำเป็นสุดๆ การจะซื้อใครในราคาเกิน 50 ล้านปอนด์ นั่นย่อมหมายถึงนักเตะรายนั้นจะต้องเป็นระดับกระดูกสันหลังของทีมจริงๆ ซึ่งที่ผ่านมา มีเพียงสองรายเท่านั้นที่จัดว่าราคาเข้าขั้นแพง นั่นคือ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ และ อลิสซง เบคเกอร์ ที่ย้ายมาด้วยค่าตัว 75 ล้านปอนด์ และ 66.8 ล้านปอนด์ ตามลำดับ


แต่การตัดสินใจทุ่มเงินเพื่อนักเตะทั้งสองรายนั้น ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูก เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการมีอยู่ของ ฟาน ไดค์ และ อลิสซง คือส่วนสำคัญมากๆ ที่ทำให้ทีมหงส์แดงกลับมาประสบความสำเร็จคว้าแชมป์รายการใหญ่มาครองได้ ทั้ง พรีเมียร์ลีก และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก


ดังนั้น การที่พวกเขายอมวอดวายมากถึง 85 ล้านปอนด์ แม้ว่าจะเป็นราคาที่รวม add-ons แล้ว แต่ก็ถือว่าเป็นราคาที่แพงที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยซื้อนักเตะมาอยู่ดี นั่นย่อมหมายถึง เจอร์เก้น คล็อปป์ และทีมงาน มองว่าการมาของ นูนเญซ จะทำให้พวกเขาก้าวขึ้นไปอีกระดับ และจะทำให้การต่อสู้แย่งแชมป์กับ แมนฯ ซิตี้ มีความสูสีมากขึ้นกว่าเดิม


กองหน้าทีมชาติอุรุกวัยรายนี้ ที่กำลังจะอายุครบ 23 ปีในอีก 10 วันข้างหน้า ถ้าเราลองมองย้อนไปดูประวัติของเจ้าตัว จะเห็นว่าอันที่จริงแล้วเพิ่งจะมีผลงานเปรี้ยงปร้างจริงๆ ก็ในฤดูกาลที่ผ่านมาเท่านั้น เมื่อระเบิดฟอร์มยิงไปถึง 34 ประตูจาก 41 เกมรวมทุกรายการ แต่ในปีก่อนๆ หน้านั้น นูนเญซ จัดว่ามีผลงานในระดับที่ "น่าสนใจ" เท่านั้น


ในฤดูกาล 2020-21 หรือปีแรกที่ได้ย้ายมาเล่นให้ เบนฟิก้า กองหน้ารายนี้ทำไปเพียง 6 ประตูจากการลงเล่น 29 นัดในเกมพรีเมร่า ลีกา ของ โปรตุเกส และ 14 ประตูจากการลงสนาม 44 เกมรวมทุกรายการ ส่วนปีก่อนหน้าที่เล่นให้กับ อัลเมเรีย (ทีมที่ "เจ้ามุ้ย" ธีรศิลป์ แดงดา เคยไปเล่นแบบยืมตัว) ซึ่งตอนนั้นอยู่ในระดับ ลีกา สอง สเปน นูนเญซ ที่ยังเป็นเพียงนักเตะโนเนมยิงไป 16 ประตูจาก 36 เกมรวมทุกรายการ


ก็ถือว่าใช้ได้ แต่ต้องไม่ลืมว่าก็แค่ระดับ ลีกา สอง ของสเปน เท่านั้น...


อย่างไรก็ตาม การที่ เบนฟิก้า ยอมจ่ายถึง 24 ล้านยูโรรวมถึงส่วนแบ่งอีก 20% จากการขายต่อในภายหน้าให้กับ อัลเมเรีย แสดงให้เห็นว่าทีมงานแมวมองของทีมเหยี่ยวลิสบอน มองเห็นอะไรบางอย่างในตัว นูนเญซ ที่ตอนนั้นอายุเพียง 21 ปี และพวกเขาก็ไม่ได้คิดผิด เพราะผ่านไปเพียง 2 ฤดูกาลเท่านั้น เบนฟิก้า สามารถทำเงินจากกองหน้ารายนี้ได้มากกว่าที่ซื้อมาเกือบ 5 เท่าตัวเลยทีเดียว


ดังนั้น การที่ แมนฯ ซิตี้ มี ฮาแลนด์ และ ลิเวอร์พูล มี นูนเญซ ย่อมต้องถูกนำมาเปรียบเทียบกันอย่างช่วยไม่ได้ นั่นหมายความว่านอกจากการแข่งขันกันทำผลงานระหว่างทั้งสองทีมแล้ว ผลงานของทั้งสองคนนี้ย่อมต้องถูกจับจ้อง และนำมาเปรียบเทียบกันแน่นอนว่าใครที่เป็นสไตรค์เกอร์ที่ดีกว่ากัน และใครที่เล่นได้คุ้มค่าตัวมากกว่า ซึ่งแน่นอนว่าในเรื่องนี้ นูนเญซ ย่อมต้องกดดันมากกว่า ฮาแลนด์ อยู่บ้าง จากการที่เขามีค่าตัวแพงกว่าถึง 35 ล้านปอนด์


การแข่งขันกันระหว่างสองคนนี้ในฤดูกาลหน้าจึงเป็นอะไรที่น่าติดตามมากๆ เพราะทั้งคู่ต่างอยู่ในทีมที่มีปัจจัยคล้ายกัน กล่าวคือทั้ง แมนฯ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล ต่างเป็นทีมที่เล่นฟุตบอลได้อย่างสร้างสรรค์มากที่สุดในลีก เล่นฟุตบอลเกมรุก และสร้างโอกาสในการจบสกอร์ได้อย่างมากมาย ดังนั้นผลงานส่วนตัวของทั้ง ฮาแลนด์ และ นูนเญซ อาจจะหมายถึงปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ต้นสังกัดประสบความสำเร็จในการลุ้นแชมป์ในฤดูกาลหน้าด้วยเช่นกัน 


ฟุตบอลอาจจะเป็นอะไรที่ไม่แน่นอน ทีมอย่าง เชลซี อาจจะไม่สามารถมองข้ามได้ แมนฯ ยูไนเต็ด ภายใต้การทำงานของ เอริค เทน ฮาก อาจจะยังไม่มีลุ้นอะไรเนื่องจากอยู่ในระหว่างการสร้างทีมขึ้นมาใหม่ แต่พวกเขาอาจจะกลายเป็นทีมที่เป็นตัวแปรสำหรับทีมที่มีลุ้นแชมป์ก็เป็นได้ เช่นเดียวกันกับทีมอย่าง อาร์เซน่อล ที่ก็อยู่ในสถานะที่คล้ายกับปีศาจแดง ส่วน สเปอร์ส ของ อันโตนิโอ คอนเต้ อาจจะเป็นจอมเซอร์ไพรส์ตัวจริง เพราะกุนซืออิตาเลียนเคยทำให้เห็นมาแล้วสมัยที่คุม เชลซี เมื่อไม่กี่ปีก่อน


แต่ถึงอย่างนั้น แมนฯ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล ยังคงถูกมองว่าเป็นสองทีมที่แข็งแกร่งที่สุด และจากการที่พวกเขาต่างได้อาวุธหนักเข้ามาเสริมทีมแบบที่ไม่น้อยหน้ากันเลยทั้งคู่ นั่นน่าจะทำให้การลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลหน้า จะยังคงเป็นสองทีมนี้ที่ยังคงมีลุ้นมากที่สุดอยู่ดี...

ภาพจาก Twitter

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อัปเดตข่าวล่าสุดก่อนใคร :

Website : www.truevisions.co.th

Facebook : Truevisions

Twitter : @TrueVisions

Line : @Truevisions

Youtube official : Truevisionsofficial

Instagram : Truevisionsofficial