แมนฯ ยูไนเต็ด และ ลิเวอร์พูล เริ่มประเดิมเกมแรกของการทัวร์ปรีซีซั่นกันไปเป็นที่เรียบร้อย ด้วยการพบกันเองในเกมกระชับมิตรที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน เมื่อช่วงหัวค่ำวันอังคารที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งผลการแข่งขันที่ออกมานั้นต้องถือว่าเหนือความคาดหมายอยู่ไม่ใช่น้อย
แน่นอนว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ในยุคสมัยนี้ เมื่อเทียบกับ ลิเวอร์พูล แล้ว เหมือนกราฟที่สวนทางกัน เพราะนับตั้งแต่ที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน วางมือไปเมื่อปี 2013 พวกเขาก็ไม่เคยได้แชมป์พรีเมียร์ลีกอีกเลย ดีที่สุดคือรองแชมป์เมื่อปี 2017-18 ในยุคของ โชเซ่ มูรินโญ่ และอีกครั้งคือปี 2020-21 ที่มี โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เป็นผู้จัดการทีม
อย่างไรก็ตาม รองแชมป์ทั้งสองครั้งนั้น คงไม่ใช่เรื่องที่น่าภาคภูมิใจเท่าไหร่นัก (แม้ว่า มูรินโญ่ จะเคยบอกว่าเขาภูมิใจมากก็ตาม) เพราะทั้งสองครั้ง แมนฯ ยูไนเต็ด แพ้แชมป์อย่าง แมนฯ ซิตี้ ด้วยคะแนนที่ห่างไกลถึง 19 และ 12 คะแนนตามลำดับ เรียกได้ว่าไม่ได้เข้าใกล้กับคำว่าลุ้นแชมป์เลย แม้ว่าจะจบด้วยอันดับที่ 2 ก็ตาม
ตรงกันข้ามกับ ลิเวอร์พูล ที่เมื่อก้าวเข้าสู่ยุคสมัยที่มี เจอร์เก้น คล็อปป์ เป็นกุนซือแล้ว ทุกอย่างก็มีแต่จะดีขึ้นไปเรื่อยๆ เริ่มจากฟอร์มและแนวทางการเล่นที่เปลี่ยนแปลงไป, การซื้อตัวผู้เล่นที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งต้องยกให้เป็นผลงานของทีมบริหารที่เก่งกาจ กระทั่งการสร้างทีมของ คล็อปป์ นั้นแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนก้าวไปถึงการคว้าแชมป์รายการสำคัญมาครองได้ครบทุกรายการ
แถมยังมีลุ้นความสำเร็จอย่างต่อเนื่องแทบจะทุกปี อยู่ที่ว่าจะได้ลุ้นรายการไหน แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะมีลุ้นรายการใหญ่อย่าง พรีเมียร์ลีก และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ไปจนถึงช่วงท้ายๆ อยู่เสมอ อยู่ที่ว่าจะดีพอจนไปถึงแชมป์รึเปล่าเท่านั้น
ดังนั้นการพบกันในเกมเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา แม้ว่าจะเป็นแค่เกมอุ่นเครื่อง และตัวผู้เล่นหลายคนก็อาจจะยังไม่ได้ฟิตเต็มร้อยอะไรมากมายนัก แต่เชื่อเหลือเกินว่าบรรดาสาวกหงส์แดง คงไม่ได้คิดไปถึงขั้นว่าจะโดน แมนฯ ยูไนเต็ด ที่เพิ่งมีการเปลี่ยนแปลงในส่วนของตำแหน่งเทรนเนอร์ แถมการเสริมทัพก็ยังดูเชื่องช้ามาถล่มเอาได้
หลายคนน่าจะคาดหวังว่าเกมน่าจะออกมาสนุก อาจจะมีความสูสีเพราะเป็นช่วงเริ่มต้นปรีซีซั่น นักเตะหลายคนยังอยู่ในช่วงของการเรียกความฟิต แต่ด้วยฟอร์มการเล่นที่มีมาตรฐานที่สูง ลิเวอร์พูล ก็ยังดูเหนือกว่าอยู่ดี อาจจะเฉือนชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด หรือถ้าจะแพ้ อย่างน้อยก็ไม่น่าแพ้ขาดลอยอะไรมากมายนัก
ดังนั้น การที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ไล่ถล่ม ลิเวอร์พูล ได้ถึง 4-0 ในเกมนี้ ดูจะเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายไปพอสมควรจริงๆ
อย่างไรก็ดี การที่ผลการแข่งขันออกมาเป็นแบบนี้ มันก็มีเหตุผลในตัวของมันอยู่ ซึ่งถ้าใครได้ดูเกม ไม่ว่าจะเป็นการไปดูสดๆ ที่สนาม หรือดูผ่านการถ่ายทอดสด (ไม่ว่าจะจากช่องทางไหนก็ตาม) ก็คงจะคิดคล้ายๆ กัน
ประเด็นแรกเลยคือเรื่องของการจัดตัว...
การที่ได้เห็น เอริค เทน ฮาก ซึ่งถือว่าเป็นการประเดิมคุมทีมปีศาจแดงเป็นเกมแรกของเขา เลือกจัด 11 ตัวจริงลงสนามแบบเต็มพิกัดนั้น หากว่าใครที่เป็นแฟนบอลของ แมนฯ ยูไนเต็ด เชื่อว่าคงจะรู้สึกดีไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นคนที่เสียเงินเข้าไปดูในสนาม เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นแค่เกมอุ่นเครื่อง แต่เชื่อว่าทุกคนย่อมอยากจะเห็นทีมรักส่งนักเตะชุดใหญ่ลงสนามมาก่อน แล้วเดี๋ยวจะไปเปลี่ยนออกตอนไหนค่อยว่ากัน แต่อย่างน้อยก็ได้เห็นนักเตะคนโปรดของตัวเองลงวาดลวดลายสดๆ บนสนาม
ยิ่งเกมนี้ ถ้าใครติดตามข่าวสารมาตลอดก็น่าจะพอทราบดีว่ามีการลงทุนที่สูงมากๆ ค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั้งการจ้างทั้งสองทีมมาเตะที่ประเทศไทย รวมถึงการปรับปรุงสนามราชมังคลากีฬาสถานให้ได้มาตรฐานเดียวกันกับพรีเมียร์ลีกนั้น แน่นอนว่าเป็นจำนวนเงินที่ฝ่ายจัดการแข่งขันต้องระดมทุนมาไม่น้อย ดังนั้นแม้ว่าจะเป็นแค่เกมกระชับมิตร แต่ด้วยราคาค่าตั๋วระดับนี้ ทั้งสองทีมที่มาเตะน่าจะส่งนักเตะเบอร์ใหญ่ๆ ของตัวเองลงสนามมากหน่อย
แมนฯ ยูไนเต็ด เริ่มต้นเกมด้วยการทำอย่างที่แฟนบอลคาดหวัง คือจัดเต็มเท่าที่จะทำได้ เริ่มจากประตูเป็น ดาบิด เด เคอา กองหลังประกอบไปด้วย ดีโอโก้ ดาโลต์, ราฟาแอล วาราน, วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ และ ลุค ชอว์ ส่วนแดนกลางใช้ เฟร็ด, สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ และ บรูโน่ แฟรนันด์ส ขณะที่สามกองหน้าเป็น เจดอน ซานโช่, อองโตนี่ มาร์กซิยาล และ มาร์คัส แรชฟอร์ด
นี่ถ้าหากว่า คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ไม่ได้มีปัญหาเรื่องครอบครัว (หรือถ้าตามที่ข่าวรายงานคืออยากย้าย) และเดินทางมากับทีมได้ตามปกติ ก็น่าจะได้ลงเป็นกองหน้าตัวเป้าแทนตำแหน่งของ มาร์กซิยาล แน่ๆ
แต่ ลิเวอร์พูล ไม่ได้ทำแบบเดียวกัน ซึ่งจะว่าไปไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะทีมหงส์แดงเริ่มซ้อมช้ากว่า แมนฯ ยูไนเต็ด แถมบรรดาผู้เล่นชุดใหญ่ก็เพิ่งจะกลับมาเข้าแคมป์ได้ไม่นาน บางคนเพิ่งซ้อมได้แค่ 2 วัน บางคนเพิ่งบินตามมา อาทิ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ อลิสซง เบคเกอร์ และที่ผ่านมา เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็มักจะเลือกทำแบบนี้ในช่วงปรีซีซั่น คือแบ่งทีมออกเป็น 3 ทีม และลงเล่นทีมละ 30 นาที
เพียงแต่เชื่อว่าความรู้สึกของแฟนลิเวอร์พูลในประเทศไทย หลายคนคงอยากเห็น 11 ตัวจริงที่แน่นกว่านี้ เพราะอย่างน้อยนี่ก็เป็นศึกแห่งศักดิ์ศรี ถึงจะเป็นแค่เกมกระชับมิตรก็เถอะ แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่างที่บอกไปในข้างต้น บางคนที่ซื้อบัตรในราคาสูงก็คงอยากจะเห็นทีมชุดใหญ่โชว์ฝีเท้าในสนามตั้งแต่ต้น หรือในจำนวนนาทีที่มากกว่า 30 นาทีหน่อย แล้วเดี๋ยวค่อยไปเปลี่ยนออกในครึ่งหลังหรืออะไรก็ว่าไป
แต่ ลิเวอร์พูล เริ่มต้นด้วยไลน์อัพที่ผสมผสานแบบค่อนไปทางอ่อน คือมี อลิสซง เป็นประตู แต่กองหลังเป็นดาวรุ่งอย่าง ไอแซ็ค มาบาย่า, แน็ต ฟิลลิปส์, โจ โกเมซ และ ลุค แชมเบอร์ส ขณะที่แดนกลางมี จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีม, ไทเลอร์ มอร์ตัน และ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ ดาวรุ่งที่เพิ่งไปดึงมาจาก ฟูแล่ม ส่วนแนวรุกประกอบไปด้วย ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์, โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่ และ หลุยส์ ดิอาซ
มันเลยไม่แปลกที่รูปเกมในครึ่งแรกจะเป็น แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ทำได้ดีกว่า แต่ที่เซอร์ไพรส์มากกว่านั้นคือสามารถยิงนำไปก่อนได้ถึง 3-0 จาก ซานโช่, เฟร็ด และ มาร์กซิยาล ซึ่งแต่ละประตูที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่แล้วมาจากการที่คุณภาพผู้เล่นที่แตกต่างกันเกินไป ทำให้ ลิเวอร์พูล ทำพลาดง่ายๆ จนนำไปสู่การเสียประตู
แต่ก็ไม่ใช่เป็นเพราะ ลิเวอร์พูล ทำพลาดเพียงอย่างเดียว แมนฯ ยูไนเต็ด ถึงยิงได้ เพราะก็ต้องชื่นชมแนวทางการเล่นที่ เทน ฮาก แนะแนวลูกทีมของเขาด้วยเช่นกัน เพราะวิธีการเล่นของทีมปีศาจแดง แม้ว่าจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ก็ดูแตกต่างจากปีที่ผ่านๆ มา ทั้งการออกบอลที่ดูจะสะเปะสะปะน้อยลง, กล้าที่จะครองบอลมากขึ้น, มีการออกบอลตามช่อง, การเคลื่อนที่ที่มากขึ้นกว่าเดิม และการเล่นเกมเพรสซิ่งแดนบนที่ทำได้ค่อนข้างดุดัน แม้ว่าอาจจะไม่ได้ถึงกับเนียนกริบ แต่ก็ดูมีชีวิตชีวามากกว่าในยุคของ โซลชา หรือว่า ราล์ฟ รังนิค
เอาง่ายๆ ให้ดูการเล่นของ มาร์กซิยาล จอมขี้เกียจ เพราะเกมนี้เขาวิ่งกดดันแดนหน้าได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ แถมยังไล่เพรสจนแย่งบอลได้ด้วยตัวเอง 3-4 ครั้ง และหนึ่งในนั้นคือจุดเริ่มต้นของการได้ประตูที่ 3 หลังกดดันใส่ รีส วิลเลี่ยมส์ ของ ลิเวอร์พูล และแย่งบอลมาได้ ก่อนจะลากเข้าไปยิงผ่านมือ อลิสซง
ความมุ่งมั่นที่เอาจริงเอาจังของนักเตะปีศาจแดง (อาจจะเป็นเพราะเพิ่งเปลี่ยนโค้ชใหม่) ประกอบกับการที่ คล็อปป์ มองว่านี่เป็นแค่เกมอุ่นเครื่องเกมหนึ่ง และเลือกที่จะจัดทีมแบบนี้ลงมาก่อน สกอร์เลยออกมาห่างมากอย่างที่เห็น และแม้ว่าครึ่งหลัง แมนฯ ยูไนเต็ด จะเปลี่ยนยกชุด 10 คน ซึ่งเกมก็ดูจะดร็อปลงมา ไม่ได้เล่นดีเท่ากับครึ่งแรก แต่ ลิเวอร์พูล ก็ยังทวงประตูคืนไม่ได้ แถมยังมาโดยยิงเพิ่มอีก 1 ประตูจากตัวดาวรุ่งอย่าง ฟากุนโด้ เปยิสตรี้ ซึ่งในช่วงเวลานั้น บรรดาผู้เล่นชุดใหญ่ของหงส์แดง ลงสนามมาเกือบหมดแล้ว
เกมที่น่าจะสู้กันสนุกสูสีกว่านี้สักหน่อย เลยกลายเป็นชัยชนะที่ขาดลอยของ แมนฯ ยูไนเต็ด และอย่างที่บอกว่าแม้จะเป็นแค่เกมอุ่นเครื่อง ยังไม่สามารถเอามาวัดอะไรได้มากมายนัก แต่สำหรับแฟนบอลลิเวอร์พูลที่ตามเข้าไปเชียร์นั้น อาจจะต้องรู้สึกเซ็งอยู่บ้างไม่มากก็น้อย เพราะบอสที่เคารพอย่าง คล็อปป์ จัดทีมแบบที่ไม่ได้เอาใจแฟนบอลชาวไทยเลย
อย่างไรก็ตาม ถ้าหันกลับมามองในมุมของแฟนปีศาจแดง การชนะ ลิเวอร์พูล ได้ถึง 4-0 แม้ว่าจะเป็นแค่เกมอุ่นเครื่อง แต่มันก็เป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกดีได้ไม่น้อยเช่นกัน แต่สิ่งสำคัญเหนือผลการแข่งขัน เชื่อว่าทุกคนน่าจะอยากดูมากกว่าว่าในยุคสมัยของ เทน ฮาก นั้น แนวทางการเล่นของทีมจะเปลี่ยนไปอย่างไร
ต่อให้เกมนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด จะกลายเป็นฝ่ายแพ้เลยก็ได้ แต่สิ่งที่ทุกคนอยากจะเห็นคือทรงการเล่นที่ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน การเล่นฟุตบอลที่เป็นระบบ ดูลื่นไหล การต่อบอลที่ดูมีมิติมากกว่าเดิม ในแบบที่ทีมใหญ่ๆ สมควรจะเป็น ซึ่งที่ผ่านมา แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยในช่วงหลายปีหลัง
ฟุตบอลของปีศาจแดงในช่วงที่ผ่านมาดูจะเป็นฟุตบอลที่ฉาบฉวย อาศัยความเร็วของผู้เล่นในแดนหน้าเพื่อเล่นเกมสวนกลับเป็นหลัก และถ้าเกมไหนต้องเจอกับทีมที่เล็กกว่า เล่นไปเล่นมากลับไม่มีไอเดียในการเข้าทำ และหลายๆ ครั้งกลับโดนทีมที่มีชื่อชั้นเป็นรองกว่าขึงเกมเข้าใส่ และแพ้แบบหมดรูปไปเลยก็มี
ดังนั้นมากกว่าผลการแข่งขัน สิ่งที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องการที่สุดในตอนนี้คือทิศทางการก้าวเดินที่ถูกต้อง และจากเกมนี้มันก็พอจะมองเห็นอะไรหลายๆ อย่างว่า เทน ฮาก กำลังทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด เดินไปในทิศทางแบบนั้น
อย่างน้อย บทสัมภาษณ์หลังเกมของกุนซือปีศาจแดง ก็แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้สนใจมากนักถึงผลการแข่งขันที่ออกมาขาดลอยขนาดนี้ เพราะต้องไม่ลืมว่า ลิเวอร์พูล นั้นไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุดเลย จะเรียกว่ายังไม่พร้อมเลยก็ว่าได้ แต่เขากลับมองไปที่ฟอร์มการเล่นของลูกทีมมากกว่า ซึ่งยังมีหลายส่วนที่ยังมีข้อผิดพลาด และจะต้องฝึกซ้อมให้หนักเพื่อแก้ไขสิ่งเหล่านั้น
เทน ฮาก ให้สัมภาษณ์กับ MUTV ช่องโทรทัศน์ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้อย่างน่าสนใจว่า “ผมพอใจกับวันนี้นะ นี่คือทีมที่มีสปิริตที่ยอดเยี่ยม และพวกเรารู้ว่าเราเพิ่งจะเริ่มต้นกันเท่านั้น”
“เราก่อความผิดพลาดอยู่บ้างในตอนที่ไล่เพรส เราเสียโอกาสไปหลายครั้ง แต่เราก็สร้างมันได้หลายครั้งเช่นกัน เรายังต้องทำงานหนักเพื่อลบความผิดพลาดที่เกิดขึ้น แต่แน่นอนว่าเรามีความสุขกับวันนี้”
“ผมรู้ว่าเรามีผู้เล่นที่ดีหลายคนในทีม เราได้เริ่มต้นสร้างทีมกันแล้ว และผมมีความสุขกับเกมแรกที่ได้คุมทีมนี้”
“มันยังต้องใช้เวลาอีกมาก ผมมองเห็นความผิดพลาดเยอะมาก ลิเวอร์พูล ใช้ 3 ทีมในการเล่นเกมนี้ และยังไม่ได้อยู่ในจุดที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขา ดังนั้นเราไม่ควรที่จะประเมินค่าผลการแข่งขันในเกมนี้สูงเกินไปนัก”
“แต่ในเวลาเดียวกัน ผมก็มองเห็นสิ่งที่ดีหลายอย่าง โดยเฉพาะความเร็วและการสร้างสรรค์ในแดนหน้า”
เห็นได้ชัดว่าไม่มีตรงไหนที่บอกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด เล่นได้อย่างสุดยอดไปเลย แต่ในเมื่อ ลิเวอร์พูล ยังไม่พร้อมขนาดนี้ ผลการแข่งขันจึงไม่ควรจะเอามาเป็นประเด็นให้มากมายนัก แต่ขอมองไปที่การขัดเกลานักเตะของตัวเองดีกว่า
ตอนนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด ในยุคสมัยของ เทน ฮาก เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น และทางเดินต่อจากนี้จะไม่ใช่ทางเดินที่โรยไปด้วยกลีบกุหลาบแน่ๆ จะต้องมีช่วงเวลาที่ให้ได้ล้มลุกคลุกคลานอีกมาก แต่สิ่งสำคัญคือ เทน ฮาก ต้องได้เวลาในการทำงาน ต้องได้เวลาในการติดตั้งระบบการเล่น ต้องได้เวลาเวลาในการสร้างทีม เหมือนอย่างที่เขาได้ในตอนที่ทำงานกับ อาแจ็กซ์ มาก่อน
แม้ว่าการคุมทีมอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด อาจจะเป็นสเกลที่แตกต่างกัน และมีความกดดันมหาศาล อาจจะต้องใช้เวลาในการสร้างทีมแบบที่ไม่มีความสำเร็จใดๆ ไปอีกไม่น้อยกว่า 2-3 ปี แต่ถ้าแนวทางการเล่นมีการพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง บวกกับการเสริมทัพที่ดี บางทีถึงตรงนั้นอาจจะเริ่มคิดถึงความสำเร็จได้ และเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นต่างหาก คือสิ่งที่แฟนบอลปีศาจแดงทั่วโลกต้องการ มากกว่าการชนะแบบฉาบฉวยไปวันๆ เหมือนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา...
ภาพจาก True Visions
อัปเดตข่าวล่าสุดก่อนใคร :
Website : www.truevisions.co.th
Facebook : Truevisions
Twitter : @TrueVisions
Line : @Truevisions
Youtube official : Truevisionsofficial
Instagram : Truevisionsofficial