ท่ามกลางตลาดนักเตะช่วงซัมเมอร์ที่กำลังเดินหน้าไป แมนฯ ยูไนเต็ด ของ เอริค เทน ฮาก ที่มีเป้าหมายแบบค่อยเป็นค่อยไปในฤดูกาลหน้าก็เริ่มที่จะมองเห็นทีมใหม่ในยุคของกุนซือดัตช์ชัดมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่ล่าสุดประกาศคว้านักเตะใหม่เข้าสู่ทีมเป็นรายที่ 3 แล้วเรียบร้อย ซึ่งก็คือ ลิซานโดร มาร์ติเนซ ปราการหลังทีมชาติอาร์เจนติน่าของ อาแจ็กซ์ อดีตลูกน้องเก่าของ เทน ฮาก นั่นเอง
เท่ากับว่าตอนนี้ทีมปีศาจแดงได้ผู้เล่นใหม่มาแล้ว 3 คน ประกอบไปด้วย ไตเรลล์ มาลาเซีย, คริสเตียน เอริคเซ่น และ ลิซานโดร ในรายล่าสุด และแน่นอนว่ายังไม่ควรจะหมดเพียงเท่านี้ เพราะเป้าหมายที่แท้จริงและเป็นเบอร์หนึ่งที่ เทน ฮาก อยากให้สโมสรคว้าตัวมาให้ได้มากที่สุดอย่าง เฟรงกี้ เดอ ยอง นั้น ยังไม่เสร็จสมบูรณ์เสียที
ถ้าหากว่าดีลของ เดอ ยอง สามารถจบลงได้ในแบบที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องการ นั่นก็คือคว้าตัวมาร่วมทีมได้สำเร็จ ก็น่าจะเป็นตลาดช่วงซัมเมอร์แรกของ เทน ฮาก ที่ไม่ได้แย่เกินไปเท่าไหร่นัก แต่ถ้าไม่สำเร็จ ก็คงต้องรีบไปมองเป้าหมายอื่น และก็ยังไม่แน่ใจว่าถ้าหลุดจาก เดอ ยอง เป้าหมายรองที่ทีมมองเอาไว้จะเป็นใคร ซึ่งถึงตอนนั้นก็ต้องไปดูกันอีกที
อย่างไรก็ตาม พักเรื่องของ เดอ ยอง เอาไว้ก่อน กับความวุ่นวายในการเจรจาที่กำลังเกิดขึ้น ช่วงท้ายค่อยวนกลับมาพูดถึงใหม่ ตอนนี้มาดูกันก่อนว่าจากการที่ เทน ฮาก เลือกนักเตะใหม่ 3 รายอย่าง มาลาเซีย, เอริคเซ่น และ ลิซานโดร นั้น เขามองเห็นอะไร และทำไมจะต้องเป็น 3 คนนี้
เริ่มจากรายแรกที่เข้ามาก่อนอย่าง มาลาเซีย ถ้าใครที่ตามข่าวการซื้อขายของ แมนฯ ยูไนเต็ด มาตลอด จะรู้ว่าจริงๆ แล้วแบ็กซ้ายรายนี้ตกเป็นข่าวกับทีมน้อยมากๆ มีเกี่ยวพันอยู่แค่แวบๆ ในช่วงไม่กี่เดือนก่อน และก็เป็น โอลิมปิก ลียง ที่เจรจากับทาง เฟเยนูร์ด ไปได้เรียบร้อย ทั้งในเรื่องของค่าตัวและเงื่อนไขส่วนตัวกับทางนักเตะ แต่เป็นแค่การตอบตกลงทางวาจา ยังไม่ได้มีการเซ็นสัญญาแต่อย่างใด
แต่ในระหว่างที่ แมนฯ ยูไนเต็ด กำลังพยายามที่จะตกลงกับ บาร์เซโลน่า ในการคว้า เดอ ยอง มาร่วมทีมให้ได้นั้น อยู่ดีๆ ก็โผล่พรวดเข้าไปขอเจรจากับทาง เฟเยนูร์ด ก่อนจะใช้วิธียื่นข้อเสนอที่มากกว่าให้ต้นสังกัดของนักเตะพิจารณา และพอตัว มาลาเซีย รู้ว่าได้รับความสนใจอย่างจริงจังจาก แมนฯ ยูไนเต็ด แบ็กวัย 22 ปีรายนี้ก็เปลี่ยนใจมารับข้อเสนอย้ายมาเล่นให้ทีมปีศาจแดงแทนทันที ปล่อย ลียง ให้ยืนงงคนเดียวไว้กลางทาง
ถือเป็นกลยุทธ์ใหม่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในตลาดรอบนี้ เพราะสำหรับดีลของ มาลาเซีย นั้นไม่ใช่คนแรกที่ทีมบริหารของปีศาจแเดงใช้วิธีการนี้ในช่วงซัมเมอร์นี้ แต่มีถึง 3 คนที่ใช้แนวทางเดียวกัน และทำสำเร็จถึง 2 รายด้วย แต่จะมีใครอีกบ้างเดี๋ยวค่อยมาอธิบายกันต่อในย่อหน้าต่อๆ ไป
กลับมาที่เรื่องของ มาลาเซีย อีกครั้ง การดึงตัวแบ็กซ้ายรายนี้เข้ามา เหมือนจะดูเกินความจำเป็น เพราะอันที่จริง แมนฯ ยูไนเต็ด มีนักเตะในตำแหน่งนี้ในทีมชุดใหญ่อยู่แล้ว 2 รายอย่าง ลุค ชอว์ และ อเล็กซ์ เตลลิส
แต่ความจริงมาเปิดเผยภายหลังว่า เทน ฮาก ชื่นชอบแบ็กรายนี้เป็นการส่วนตัวมาตั้งแต่ตอนที่คุม อาแจ็กซ์ แล้ว หลังจากที่ มาลาเซีย เคยโชว์ฟอร์มเก็บ อันโตนี่ ปีกตัวจี๊ดของ อาแจ็กซ์ เข้ากระเป๋าได้แบบอยู่หมัด นั่นทำให้ฟอร์มในวันนั้นไปเตะตา เทน ฮาก เข้าอย่างจัง
ดังนั้น นี่น่าจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ยอมควัก 15 ล้านปอนด์คว้า มาลาเซีย มาร่วมทีม แต่อีกหนึ่งเหตุผลที่ เทน ฮาก ไม่ได้บอกเพิ่มนั้น อาจจะเป็นเพราะว่าเขาคงมองเห็นแล้วว่าแบ็กซ้ายของ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่มีอยู่เดิมอย่าง ชอว์ และ เตลลิส นั้นยังไม่ดีพอก็เป็นได้ เพราะจะว่าไปทั้งคู่ต่างเป็นแบ็กที่ทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นเกมรุกที่ก็ยังไม่สุด ส่วนเกมรับก็มีความหละหลวม
ยิ่งได้เห็นการหุบ เตลลิส ไปยืนเป็นเซนเตอร์ฮาล์ฟ ในเกมอุ่นเครื่องสองนัดที่ผ่านมาทั้งกับ ลิเวอร์พูล และ เมลเบิร์น วิคตอรี่ ยิ่งชัดเจนว่าฤดูกาลหน้า เตลลิส น่าจะต้องเปลี่ยนบทบาทของตัวเองไปเป็นเซนเตอร์จำเป็น ส่วนแบ็กซ้ายให้ ชอว์ กับ มาลาเซีย แข่งขันกันไป
ขยับมาที่รายที่สองอย่าง คริสเตียน เอริคเซ่น อันนี้ไม่ต้องใช้เหตุผลกลั่นกรองมากมายก็น่าจะได้คำตอบกันง่ายๆ ว่าดึงตัวมาร่วมทีมทำไม เพราะแดนกลางคือปัญหาใหญ่สุดของ แมนฯ ยูไนเต็ด ชุดนี้เลยก็ว่าได้
ที่ผ่านมาทีมปีศาจแดงไม่มีกองกลางคนไหนที่ไว้ใจได้เลยนอกจาก บรูโน่ แฟร์นันด์ส นอกนั้นถ้าไม่อายุมากเกินไปก็เบสิคไม่ดี เฟร็ด กับ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ อาจจะมีความขยัน แต่ไม่มีความแน่นอนในการออกบอล จ่ายติดจ่ายเสียกันเป็นว่าเล่น ยิ่งในซัมเมอร์นี้ ปอล ป๊อกบา, เนมานย่า มาติช และ ฆวน มาต้า ต่างอำลาทีมไปทั้งหมด ถ้าหากว่าการซื้อนักเตะรอบนี้ไม่มีกองกลางเลยย่อมถือว่าประหลาดสุดๆ
ขณะที่ เอริคเซ่น นั้น อยู่ดีๆ ก็มีข่าวว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะดึงตัวมาร่วมทัพ หลังเห็นว่านักเตะหมดสัญญากับ เบรนท์ฟอร์ด และมีสถานะเป็นนักเตะฟรีเอเยนต์ ด้วยฟอร์มการเล่นที่ทำได้ในครึ่งหลังของฤดูกาลที่แล้ว การได้ตัวกองกลางวัย 30 ปีรายนี้มาแบบฟรีๆ คงไม่มีอะไรจะคุ้มค่ายิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว แถมบทบาทของ เอริคเซ่น กับ เบรนท์ฟอร์ด นั้น ก็แตกต่างไปจากตอนที่เล่นให้ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์
ในตอนนั้น เอริคเซ่น ถือว่าเป็นจอมทัพที่คอยบัญชาการเกมให้ทีมไก่เดือยทอง และอยู่ใกล้กับหน้าประตู โดยคอยสนับสนุนกองหน้าอย่าง แฮร์รี่ เคน และ ซน ฮึง-มิน แต่หลังจากที่มีปัญหาโรคหัวใจจากศึกยูโรเมื่อปีที่แล้ว และมาได้โอกาสลงสนามอีกครั้งกับ เบรนท์ฟอร์ด บทบาทของ เอริคเซ่น ก็เปลี่ยนแปลงไป
คราวนี้เจ้าตัวรับบทเป็น Deep-lying playmaker (ถ้านึกไม่ออกให้นึกถึงบทบาทของ อันเดรีย ปิร์โล่ จอมทัพทีมชาติอิตาลี) ไม่ได้ยืนขึ้นสูงเหมือนสมัยก่อน แต่เล่นได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงมากๆ นอกจากนี้การออกบอลของ เอริคเซ่น ไม่ว่าจะเป็นจังหวะโอเพ่นเพลย์หรือว่าลูกนิ่ง ต่างมีส่วนช่วย เบรนท์ฟอร์ด ได้มากอย่างไม่น่าเชื่อ จากที่กำลังอยู่ในสถานการณ์หนีตกชั้น แต่พอมีกองกลางทีมชาติเดนมาร์กรายนี้คุมแดนกลางให้ พวกเขาก็กลับมาเล่นดีจนรอดตกชั้นได้แบบสบายๆ ในช่วง 10 เกมสุดท้าย
แน่นอนว่า เทน ฮาก เองก็รู้จัก เอริคเซ่น ดีอยู่แล้ว และยังเคยได้เจอกันช่วงหนึ่งในตอนที่ เอริคเซ่น มาขอซ้อมกับ อาแจ็กซ์ ช่วงที่เพิ่งกลับมาจากการรักษาโรคหัวใจด้วย แถม เอริคเซ่น ยังเคยเป็นอดีตดาวรุ่งของ อาแจ็กซ์ มาก่อน ดังนั้นก็น่าจะเข้าใจแนวทางในฟุตบอลของ เทน ฮาก แบบไม่ยากนัก
นอกจากนี้ บางทีการที่อยู่ๆ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ไปยื่นข้อเสนอดึง เอริคเซ่น เข้ามาร่วมทีม อาจจะเป็นเพราะหากว่าพลาดได้ตัว เดอ ยอง เข้ามาตามแผนที่วางไว้ การมี เอริคเซ่น อยู่ในทีมก็พอจะช่วยยกระดับการเล่นในแดนกลางให้กับทีมได้ ดีกว่าไม่ได้ใครเข้ามาเลย เพราะบอกได้เลยว่าในระยะยาวมีปัญหาแน่นอน หากว่ายังฝากความหวังไว้ที่มิดฟิลด์อย่าง เฟร์ด และ แม็คโทมิเนย์
ส่วนในรายล่าสุดที่เพิ่งเข้ามาอย่าง ลิซานโดร มาร์ติเนซ ถ้ามองจากข่าวที่เกิดขึ้น อาจเป็นไปได้ว่านี่เป็นตัวเลือกรองในตำแหน่งกองหลังที่ เทน ฮาก อยากจะได้ เพราะอันที่จริงน่าจะเป็น ยูร์เรียน ทิมเบอร์ ที่อยู่ อาแจ็กซ์ เหมือนกัน เป็นตัวเลือกแรกในตำแหน่งกองหลังที่ เทน ฮาก อยากจะได้ตัวมาร่วมทีมมากกว่า
แต่ในเมื่อ ทิมเบอร์ มีความกังวลเรื่องโอกาสในการลงสนาม และกลัวที่จะส่งผลกระทบต่อการติดทีมชาติเนเธอร์แลนด์ในศึกฟุตบอลโลก 2022 ช่วงปลายปีนี้ เทน ฮาก ก็เบนเป้าหมายมาที่ ลิซานโดร ทันที
อย่างไรก็ตาม อย่างที่เกริ่นไว้ในทีแรกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ใช้กลยุทธ์ใหม่ในตลาดนักเตะรอบนี้ นั่นคือการเข้าไปดีลกับนักเตะต่อจากทีมอื่น หรือจะบอกว่าเป็นการลอกการบ้านก็ไม่ผิดซะทีเดียว
โดยปกติแล้วการเข้าไปเจรจาทีหลังมักจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพราะบางทีตัวต้นสังกัดของนักเตะที่เป็นเป้าหมาย รวมถึงตัวนักเตะรายดังกล่าวอาจจะเจรจากับอีกทีมไปมากแล้ว และไม่คิดที่จะเปลี่ยนใจ แต่มันก็มีความเป็นไปได้อยู่บ้างที่อาจจะพลิกสถานการณ์ได้
แมนฯ ยูไนเต็ด ใช้วิธีแบบนี้กับดีลของ มาลาเซีย และ ลิซานโดร แบบเป๊ะๆ ซึ่งข้อดีของการเข้ามาคุยทีหลัง อย่างแรกเลยคือจะข้ามขั้นตอนเรื่องการเจรจาขอซื้อตัว เพราะมันชัดเจนแล้วว่าต้นสังกัดนักเตะพร้อมปล่อย จากการที่พวกเขากำลังดีลกับทีมอื่นอยู่ แถมยังมองเห็นราคาแล้วด้วยว่าตกลงกันไปที่ตัวเลขเท่าไหร่ ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้ก็ง่ายนิดเดียว นั่นคือจ่ายค่าตัวให้แพงกว่าอีกทีมที่เป็นคู่แข่ง และโน้มน้าวตัวนักเตะให้เปลี่ยนใจให้ได้
แน่นอนว่าวิธีการนี้ไม่ได้การันตีว่าจะประสบความสำเร็จ แต่มันก็มีเปอร์เซ็นต์ที่จะสำเร็จค่อนข้างสูง หากว่าทีมที่เป็นคู่แข่งไม่ได้มีอะไรที่เหนือกว่า อย่างเช่น โอลิมปิก ลียง ที่ไม่ได้มีแรงดึงดูดมากกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ว่าจะเป็นด้านไหน และ อาร์เซน่อล ที่ขอซื้อ ลิซานโดร ก่อน แต่พอมาเทียบกับ แมนฯ ยูไนเต็ด พวกเขาไม่ได้มีอะไรที่เหนือกว่าไม่ว่าจะเป็นการจ่ายค่าจ้าง หรือการไม่ได้ไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ปีหน้าเหมือนกัน แถมทีมปืนใหญ่ยังกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบไปในทันที เพราะทีมปีศาจแดงมี เทน ฮาก เป็นกุนซือ ซึ่งเป็นอดีตเจ้านายของ ลิซานโดร คุมทีมอยู่ ดังนั้นกองหลังอาร์เจนไตน์จึงเปลี่ยนใจได้แบบไม่ยากเลย
ที่บอกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ใช้กลยุทธ์นี้ในตลาดรอบนี้ เพราะนอกจาก มาลาเซีย และ ลิซานโดร แล้ว ยังมีในรายของ ไบรอัน บร็อบบี้ย์ กองหน้าชาวดัตช์ของ ไลป์ซิก ที่มีข่าวว่า อาแจ็กซ์ จะขอซื้อกลับ และทั้งสองสโมสรรวมถึงตัวนักเตะก็บรรลุข้อตกลงกันไปหมดแล้ว แต่อยู่ดีๆ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็เข้ามาในวงเจรจาด้วยซะอย่างนั้น
เพียงแต่ว่ารายนี้โน้มน้าวไม่สำเร็จ เพราะตัวนักเตะอยากจะกลับไปที่ อาแจ็กซ์ มากกว่า ส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นเพราะว่าเพิ่งจะล้มเหลวกับการไปเล่นที่บุนเดสลีกา และเพิ่งจะกลับมาเรียกความมั่นใจในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาลที่แล้ว หลัง อาแจ็กซ์ ขอยืมตัวกลับมาใช้งาน ซึ่งจริงๆ กุนซือในตอนนั้นก็คือ เทน ฮาก นี่แหละ แต่ตัว บร็อบบี้ย์ อาจจะกังวลว่าถ้าย้ายไปเล่นในพรีเมียร์ลีกตอนนี้อาจจะเอาตัวไม่รอดอีกครั้งก็เป็นได้
ดังนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอนกับกลยุทธ์เข้าสู่ดีลทีหลังของ แมนฯ ยูไนเต็ด และยังทำสำเร็จได้ 2 จาก 3 ราย
ย้อนกลับมาที่การได้ตัว ลิซานโดร แม้ว่าบางทีนี่อาจจะเป็นตัวเลือกรอง แต่ถ้าพูดถึงผลงานแล้ว ลิซานโดร ดูจะโดดเด่นกว่าทาง ทิมเบอร์ ที่เคยอยากได้ด้วยซ้ำ ซึ่งจุดเด่นของปราการหลังอาร์เจนไตน์รายนี้คือการเล่นได้ทั้งเซนเตอร์ฮาล์ฟ, แบ็กซ้าย และกองกลางตัวรับ แถมยังวางบอลได้ค่อนข้างแม่นยำ เป็นกองหลังในสไตล์ที่เล่นดุ เป็นตัวชน แต่ขึ้นเกมได้ ซึ่งแตกต่างจากที่ แมนฯ ยูไนเต็ด มีอยู่ในตอนนี้
ส่วนจุดที่เป็นข้อสังเกตนั่นคือส่วนสูง เพราะ ลิซานโดร จัดว่าเป็นกองหลังที่ตัวเล็ก จากการที่สูงเพียง 175 ซม. เท่านั้น และฟุตบอลอังกฤษนอกจากจะเล่นหนักแล้ว เรื่องลูกกลางอากาศก็เป็นบททดสอบของกองหลังเกือบทุกราย ดังนั้นจุดนี้อาจจะเป็นเรื่องที่น่ากังวล แต่ก็คงจะไม่สามารถฟันธงได้เช่นกันว่า ลิซานโดร จะไม่มีทางประสบความสำเร็จ ซึ่งเรื่องนี้คงต้องให้ผลงานที่ออกมาเป็นตัวตัดสิน
ดังนั้นการได้นักเตะทั้ง 3 คนดังกล่าวเข้ามาร่วมทีม ทำให้พอมองเห็นแล้วว่าความต้องการของ เทน ฮาก คืออะไร แต่ทุกอย่างจะสมบูรณ์กว่าเดิมมากหากว่าได้ เฟรงกี้ เดอ ยอง เพิ่มเข้ามาอีกรายในแดนกลาง เพราะตามข่าวที่ออกมา มันชัดเจนมากๆ ว่า เดอ ยอง คือผู้เล่นที่ เทน ฮาก อยากได้มากที่สุดในซัมเมอร์นี้ เนื่องจากเขาต้องการจะให้กองกลางดัตช์เป็นห้องเครื่องในแผนงานของเขา อาจจะมีคนอื่นที่เป็นเป้าหมายรอง แต่ถ้าเลือกได้ต้องเป็น เดอ ยอง เท่านั้น
แต่จนถึงวันนี้ แม้ว่าจะตกลงราคากับ บาร์เซโลน่า ได้แล้วที่ 75 ล้านยูโร และมีโบนัสเพิ่มอีก 10 ล้านยูโร แต่ตัวนักเตะยังดื้อแพ่งไม่ยอมย้าย แถมยังไม่ยอมลดเงินค่าจ้างกับทางบาร์ซ่า จนทำให้อยู่ในสถานการณ์ที่กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง แม้ว่าทีมอาซูลกราน่าจะพยายามบีบให้ย้ายสุดชีวิต แต่ เดอ ยอง ก็ยังไม่ยอมท่าเดียว
ในเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อธิบายได้ค่อนข้างยาก เพราะถ้าใครอ่านข่าวแค่ผ่านๆ อาจจะต้องแปลกใจว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะไปตามตื๊อนักเตะที่ไม่มีใจทำไม เสียเวลาเปล่าๆ แต่เบื้องหลังของเรื่องนี้คือเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่ทาง เดอ ยอง มองว่าเขากำลังถูก บาร์เซโลน่า เอาเปรียบ จากการเขาเคยยอมลดค่าเหนื่อยลงมาให้ในช่วงที่โควิดระบาดใหม่ๆ เป็นการชั่วคราว และสโมสรค่อยมาจ่ายคืนให้ทีหลังในปีต่อๆ มา
แต่ เดอ ยอง กำลังจะถูกเบี้ยวค่าจ้างในส่วนนี้หากว่ายอมย้ายไป แมนฯ ยูไนเต็ด ในตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถแสดงท่าทีว่าอยากจะย้ายไปเล่นให้ทีมปีศาจแดงได้จนกว่าจะเคลียร์เรื่องนี้เสร็จเสียก่อน ซึ่งแหล่งข่าวใกล้ชิดของ แมนฯ ยูไนเต็ด รายงานว่าทีมปีศาจแดงจะไม่เจรจานานขนาดนี้แน่นอน ถ้าไม่ได้รู้ว่ามีโอกาสที่จะได้ เดอ ยอง มาร่วมทีม
อันนี้ก็ต้องฟังหูไว้หู ไม่รู้ว่างานนี้ใครหลอกใครกันแน่ แต่ถ้าเรามองข่าวนี้แบบพินิจให้ดี ก็น่าจะมองเห็นได้ว่าถ้า เดอ ยอง ไม่ได้อยากย้ายมา แมนฯ ยูไนเต็ด จริงๆ ตั้งแต่แรก แบบว่าโอกาสเป็นศูนย์ ไม่ว่ายังไงก็ไม่ไปเด็ดขาด จากการที่เขามีความสนิทสนมและเคารพนับถือ เทน ฮาก อยู่แล้วจากการที่เคยเป็นเจ้านาย-ลูกน้องกันมาก่อน ก็ไม่มีความจำเป็นที่ เดอ ยอง จะต้องปิดบัง ทุกฝ่ายจะได้ไม่ต้องมาเสียเวลา
ดังนั้นสำหรับแฟนปีศาจแดงคงทำได้แค่ลุ้นกันต่อไปว่าจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้าย (ในตลาดรอบนี้) ของ เอริค เทน ฮาก อย่าง เฟรงกี้ เดอ ยอง จะได้มาหรือไม่ ซึ่งถ้าได้มา ก็ถือว่าน่าจะเป็นการเสริมทัพรอบแรกที่น่าพอใจไม่น้อยสำหรับ เทน ฮาก และจะทำให้แผนงานของเขาที่วางไว้สามารถทำงานได้อย่างราบรื่นมากยิ่งขึ้น และพร้อมที่จะต่อยอดในตลาดรอบต่อๆ ไป กับแผนงานสร้างทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ในระยะยาวของกุนซือดัตช์รายนี้...
ภาพจาก Getty Images
อัปเดตข่าวล่าสุดก่อนใคร :
Website : www.truevisions.co.th
Facebook : Truevisions
Twitter : @TrueVisions
Line : @Truevisions
Youtube official : Truevisionsofficial
Instagram : Truevisionsofficial