แก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่ได้มีแค่ในไทยเกาหลีก็โดนเหมือนกัน

ซึ่งอันนี้อยากจะบอกว่าจริงๆ แล้วซีรีส์ก็เอามาจากเรื่องราวในชีวิตจริงเนี่ยแหละค่ะเพราะก่อนหน้านี้เกาหลีก็เจอกับปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ระบาดหนักมากเช่นกัน

โดยจากข้อมูลพบว่าในปี 2018 คนเกาหลีเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซนเตอร์มากถึง 48,743 คน คิดเป็นมูลค่าความเสียหายทั้งสิ้น 444 พันล้านวอน (12,153 ล้านบาท) 

แก๊งพวกนี้มักจะเลือกผู้สูงอายุเป็นเหยื่อโดยใช้วิธีวิธีการอ้างตัวว่าเป็นอัยการหรือเป็นเจ้าหน้าที่การเงิน โทรมาหลอกว่าเจ้าของโทรศัพท์กำลังมีปัญหาถ้าไม่อยากมีเรื่องหรือถูกจับก็ต้องโอนเงินมา 

นอกจากนี้ก็ยังมีอีกรูปแบบหนึ่งที่ฮิตมากๆ ก็คือการหลอกให้ติดตั้งแอปพลิเคชันของสถาบันการเงินโดยอ้างว่าถ้าโหลดจะปล่อยให้กู้เงินในอัตราดอกเบี้ยนที่ต่ำมากๆ ซึ่งถ้าใครเผลอโหลดก็เสร็จเลยเพราะจะถูกดึงข้อมูลส่วนตัวไปได้ง่ายๆ

ช่วงโควิดคนมักโดนหลอกในรูปแบบข้อความสแปม

ในช่วงปี 2020  พบว่ารูปแบบการหลอกลวงนั้นมักมาในรูปของข้อความสแปมที่อ้างตัวเป็นญาติหรือคนรู้จักแล้วก็ส่งข้อความมาขอความช่วยเหลือต่างๆ นานาซึ่งในปีที่ผ่านมานั้นก็มีคนสูญเสียเงินจากข้อความพวกนี้ไปมากถึง 37.3 พันล้านวอน (1,016 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 9.1 เปอร์เซ็นต์จากปีก่อน

แหล่งกบดานมักอยู่ต่างประเทศ

เช่นเดียวกับที่เกิดในไทยแก๊งพวกนี้ส่วนใหญ่จะมีสำนักงานอยู่ที่ต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศจีนคือพบเจอเยอะมาก ซึ่งที่ผ่านมาตำรวจเกาหลีเองก็เคยสามารถบุกจับได้เช่นกันค่ะ  พนักงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ส่วนใหญ่จะมีทั้งคนจีนและคนเกาหลีเลยค่ะ และถ้าถามว่าคนหนึ่งคนหลอกคนได้เยอะแค่ไหนอันนี้ก็เคยมีตำรวจไปคุยกับอดีตแก๊งคอลเซ็นเตอร์อยู่เหมือนกัน ซึ่งเขาก็บอกว่าใน 1 ปีสามารถหลอกคนให้โอนเงินได้มากถึง 300 คนแน่ะ เลวจริงๆ 

เพราะแบบนี้แหละค่ะ Taxi Driver ก็เลยนำเรื่องราวของแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาเป็นส่วนหนึ่งในซีรีส์ด้วยเพื่อช่วยเตือนคนในประเทศไม่ให้หลงกลกับแก๊งพวกนี้ โดยในซีรีส์เขาก็ได้ทิ้งท้ายคำแนะนำถึงคนในประเทศเขาเลยว่า

"ตำรวจ อัยการ และพนักงานสอบสวนทางการเงินจะไม่ขอรายละเอียดส่วนตัว หรือให้โอนเงินได้เด็ดขาด

หากได้รับโทรศัพท์เช่นนี้วางสาย และติดต่อหน่วยงานที่ถูกแอบอ้าง"

เรียกว่าเป็นซีรีส์น้ำดีจริงๆ ค่ะเพราะไม่ใช่แค่ให้ความบันเทิงแต่ก็ยังสะท้อนปัญหาสังคมและช่วยเหลือสังคมอีกด้วย