7 รัฐตัวแปรสำคัญชี้ชะตาประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2024

7 รัฐตัวแปรสำคัญชี้ชะตาประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2024
เกาะติดบรรยากาศการเลือกตั้ง รายงานสดตรงจากสหรัฐอเมริกาผ่านทุกช่องข่าวชั้นนำของโลก วันที่ 6 พฤศจิกายนนี้ ที่แอปทรูวิชั่นส์ นาว!

การหาเสียงเพื่อแย่งชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา ที่จะมีขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้* เข้มข้นขึ้นทุกขณะ เหลืออีกเพียง 5 วันเท่านั้น ทุกคนก็จะได้ทราบว่าระหว่าง คามาลา แฮร์ริส กับ โดนัลด์ ทรัมป์ ใครกันที่ชาวอเมริกันเชื่อมั่นว่าจะนำพาประเทศไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้นได้

 

ระบบการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาจะมีการแบ่งผลโหวตออกเป็น 2 แบบ คือ Popular Vote หรือคะแนนเสียงจากประชาชน ซึ่งจะถือเป็นคะแนนดิบ ไม่มีผลต่อการตัดสินว่าใครจะมาเป็นประธานาธิบดี และ Electoral Vote หรือคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) ซึ่งจะเป็นผู้แทนของประชาชนในแต่ละรัฐที่ทำการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี

 

ผู้สมัครที่จะชนะการเลือกตั้งจะต้องได้คะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งอย่างน้อย 270 เสียง จากทั้งหมด 538 เสียง ซึ่งจำนวนของคณะผู้เลือกตั้งในแต่ละรัฐจะขึ้นอยู่กับจำนวนประชากรของรัฐนั้นๆ โดยส่วนใหญ่จะใช้กติกาว่าใครได้คะแนนเสียงมากกว่าก็จะได้เป็นตัวแทนของรัฐโดยปริยาย (Winner Takes All) ยกเว้นรัฐเมนกับเนบราสกาที่จะยึดตามคะแนน Popular Vote

 

แม้ว่าแต่ละพรรคการเมืองจะมีฐานเสียงของตัวเองในรัฐต่างๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่การจะคว้าชัยชนะได้อย่างเบ็ดเสร็จพวกเขาจะต้องทำคะแนนในรัฐแกว่ง หรือ Swing State ซึ่งเป็นรัฐที่มีแนวโน้มของคะแนนที่สูสี ยากจะคาดเดาได้ โดยในปีนี้มี 7 รัฐที่เป็นตัวแปรสำคัญในการชี้ชะตาของการแย่งชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ได้แก่


 

1. จอร์เจีย (Georgia) 16 คะแนนเสียง

จอร์เจียเคยทำให้ทรัมป์ชนะฮิลลารี คลินตัน มาแล้วในปี 2016 ด้วยผลคะแนน 51% ต่อ 45.9% แต่ในปี 2020 ผู้คนบางส่วนกลับเทคะแนนให้ไบเดนชนะทรัมป์ ด้วยคะแนน 49.5% ต่อ 49.3% ซึ่งผลโพลในปีนี้คาดการณ์ว่าประชาชนในรัฐจอร์เจียอาจหันกลับมาเทคะแนนให้กับทรัมป์อีกครั้ง หลังผลงานของพรรคเดโมแครตไม่เข้าตาของพวกเขา

 

2. นอร์ธแคโรไลนา (North Carolina) 16 คะแนนเสียง

แม้ว่านอร์ธแคโรไลนาโหวตให้พรรครีพับลิกันชนะเดโมแครตมาตลอดตั้งแต่ปี 2008 แต่คะแนนความนิยมของพรรคเดโมแครตก็เริ่มตีตื้นขึ้นมาเรื่อยๆ ในการเลือกตั้งปี 2020 ทรัมป์เอาชนะไบเดนไปเพียงแค่ 1% เท่านั้น หากเดโมแครตสามารถดึงความเชื่อมันกลับคืนมาได้ เราอาจได้เห็นชัยชนะของพวกเขาเป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี

 

3. แอริโซนา (Arizona) 11 คะแนนเสียง

โดนัลด์ ทรัมป์ เคยทำคะแนนทิ้งห่างฮิลลารี คลินตัน ไปถึง 4% ในการเลือกตั้งปี 2016 แต่กลับถูกไบเดนเฉือนเอาชนะไปแบบฉิวเฉียด 0.3% ในปี 2020 การเลือกตั้งในครั้งนี้ทำให้แอริโซนากลายเป็นตัวแปรสำคัญอีกครั้งที่จะชี้ว่าใครจะได้ครองตำแหน่งประธานาธิบดีคนต่อไป

 

4. มิชิแกน (Michigan) 15 คะแนนเสียง

โดนัลด์ ทรัมป์ เคยสร้างประวัติศาสตร์เฉือนเอาชนะฮิลลารี คลินตัน ไปได้อย่างเฉียดฉิวในปี 2016 หลังจากประชาชนเคยอยู่ข้างเดโมแครตมาตลอดตั้งแต่ปี 1998 แม้ไบเดนจะเอาชัยชนะกลับคืนมาได้ในปี 2020 แต่เดโมแครตก็ยังนิ่งนอนใจไม่ได้อยู่ดี

 

5. เนวาดา (Nevada) 6 คะแนนเสียง

แม้ว่าเดโมแครตจะเอาชนะรีพับลิกันมาตลอดในการเลือกตั้งตั้งแต่ปี 2008 แต่ความนิยมของรีพับลิกันกลับเพิ่มสูงขึ้นจนสามารถตีตื้นได้ ผลโพลจากสำนักต่างๆ ต่างชี้ตรงกันว่าการเลือกตั้งที่จะถึงนี้อาจได้เห็นรีพับลิกันกลับมากุมชัยชนะได้อีกครั้ง

 

6. เพนซิลเวเนีย (Pennsylvania) 19 คะแนนเสียง

เพนซิลเวเนียคืออีกหนึ่งรัฐที่ทั้ง 2 พรรคต้องทำการบ้านกันอย่างหนัก เนื่องจากคะแนนเสียงที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ในการเลือกตั้งปี 2016 ทรัมป์เฉือนเอาชนะฮิลลารี คลินตัน ไปเพียง 0.7% ก่อนจะแพ้ให้กับไบเดนในปี 2020 ไป 1.2% รวมถึงโพลต่างๆ ของการเลือกตั้งในปีนี้ก็ไม่สามารถชี้ชัดลงไปได้ว่าใครได้รับความนิยมมากกว่ากัน

 

7. วิสคอนซิน (Wisconsin) 10 คะแนนเสียง

วิสคอนซินเป็นรัฐที่หลายฝ่ายจับตามองอย่างไม่กะพริบตา เนื่องจากเป็นรัฐที่คะแนนความนิยมสูสีกันมาตลอด โดยไม่มีใครสามารถเฉือนเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างขาดลอยแม้แต่ครั้งเดียว

 

เกาะติดข่าวการเลือกตั้งครั้งสำคัญของสหรัฐอเมริกา ผ่านทุกช่องข่าวชั้นนำของโลกได้ที่แอปทรูวิชั่นส์ นาว

 

*ตรงกับวันที่ 6 พฤศจิกายน ตามเวลาประเทศไทย

TrueVisions

อัปเดตข่าวล่าสุดก่อนใคร :

Website : www.truevisions.co.th

Facebook : Truevisions

Twitter : @TrueVisions

Line : @Truevisions

Youtube official : Truevisionsofficial

Instagram : Truevisionsofficial