พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ปิดฤดูกาลไปเรียบร้อยแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน ซึ่งเราก็ได้ทราบกันไปหมดแล้วว่าใครเป็นแชมป์ ใครได้โควต้าฟุตบอลยุโรปถ้วยต่างๆ และใครบ้างที่ต้องตกชั้น
แต่เป็นที่รู้กันดีว่า ฟุตบอลอังกฤษจะปิดฤดูกาลอย่างสมบูรณ์แบบก็ต่อเมื่อเกม เอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ จบลง และต้องยอมรับว่าในปีนี้ คู่ชิงชนะเลิศเป็นอะไรที่น่าลุ้น น่าเชียร์เป็นอย่างมาก เพราะเป็นการโคจรมาเจอกันระหว่างสองทีมยักษ์ใหญ่แห่งเมืองแมนเชสเตอร์ นั่นก็คือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ในส่วนของทีมเรือใบสีฟ้านั้น แน่นอนว่าพวกเขามีดีกรีเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลล่าสุด หลังช่วงไม่กี่เดือนสุดท้ายของฤดูกาลเร่งเครื่องเอาชนะรัวๆ แบบไม่พักจนกระทั่งทำแต้มแซงหน้า อาร์เซน่อล ที่ครองจ่าฝูงอยู่นานถึง 248 วันแต่มาตกม้าตายตอนท้ายไปได้ ทำสถิติคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 สมัยติดต่อกันได้สำเร็จ
ฟอร์มการเล่นของ แมนฯ ซิตี้ ไม่มีใครสงสัยอยู่แล้วว่านี่คือทีมที่เล่นได้น่ากลัวที่สุดของอังกฤษในเวลานี้ มาตรฐานฟุตบอลของ ซิตี้ ที่ปลุกปั้นโดย เป๊ป กวาร์ดิโอล่า นั้น ดูจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าทุกทีมไปไม่น้อยกว่า 2-3 ช่วงตัว น้อยครั้งที่พวกเขาจะลงไปเล่นแล้วเป็นรองคู่แข่ง ส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายทำเกมกดดันใส่ได้มากกว่า และถ้าวันไหนที่แพ้ ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากไม่ดวงแตกสุดๆ ยิงเท่าไหร่ก็ไม่เข้า ก็เป็นคู่แข่งที่ดันเข้าฝักพอดี สวนตูมเดียวหาย
ในส่วนของเส้นทางของ แมนฯ ซิตี้ ในเอฟเอ คัพ ฤดูกาลนี้นั้น พวกเขาชนะมาได้แบบสบายๆ แทบจะทุกรอบ ที่สำคัญยังไม่เสียประตูเลยแม้แต่ลูกเดียว โดยในรอบ 3 และ 4 นั้น ทีมเรือใบสีฟ้าดูจะไม่มีดวงในการจับสลากเท่าไหร่ เมื่อต้องเจอกับ เชลซี และ อาร์เซน่อล ต่อเนื่องกัน แต่ข้อดีคืออย่างน้อยพวกเขายังได้เล่นในบ้าน และทีมของ กวาร์ดิโอล่า ก็เอาชนะมาได้ตามความคาดหมาย ด้วยสกอร์ 4-0 และ 1-0 ตามลำดับ
หลังจากนั้นน่าเหลือเชื่อว่า แมนฯ ซิตี้ ไม่ได้เจอกับงานหนักอีกเลย โดยในรอบที่ 5 พวกเขาต้องออกไปเยือน บริสตอล ซิตี้ ซึ่งก็ไม่ใช่งานยากอะไร ก่อนจะเอาชนะไปได้สบายๆ 3-0 จากนั้นในรอบก่อนรองชนะเลิศ พวกเขาได้กลับมาเล่นในบ้านเจอกับ เบิร์นลี่ย์ ที่ดูเหมือนว่าน่าจะเป็นเกมที่ไม่ง่ายนัก เพราะอย่างน้อยๆ เบิร์นลี่ย์ ที่นำโดย แว็งซ็องต์ ก็องปานี อดีตศิษย์เก่าของเป๊ปนั้น มีดีกรีเป็นถึงจ่าฝูงของศึก เดอะ แชมเปี้ยนชิพ เลยทีเดียว แต่กระนั้นในความเป็นจริงก็คือมาตรฐานยังห่างชั้นจาก ซิตี้ มากนัก ก่อนจะแพ้ไปอย่างขาดลอย 6-0
ในรอบรองชนะเลิศ แมนฯ ซิตี้ ยังได้เจอกับงานเบาอย่างต่อเนื่อง เมื่อจับมาเจอกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด และแน่นอนว่าเป็น ซิตี้ ที่เป็นฝ่ายถล่มไปสบายๆ 3-0 ลอยลำเข้าชิงชนะเลิศไปตามความคาดหมาย และแน่นอนว่าพวกเขาคือเต็งแชมป์ของรายการอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะเจอใครในรอบชิงชนะเลิศก็ตาม
ทางด้าน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่นำโดย เอริค เทน ฮาก มีฤดูกาลที่ถือว่าน่าพอใจพอสมควร เมื่อเทียบว่านี่เป็นเพียงแค่ปีแรกเท่านั้นของกุนซือชาวดัตช์ แต่กลับทำให้ทีมปีศาจแดงเล่นเป็นระบบขึ้นมาก แม้ว่าเกมรุกจะยังดูเป็นปัญหาที่ชัดเจนที่สุดแล้วของทีมในฤดูกาลนี้ แต่ภายใต้การนำทีมของ "อีทีเอช" แมนฯ ยูไนเต็ด ประสบความสำเร็จได้แชมป์ คาราบาว คัพ มาครองได้ทันที ถือเป็นแชมป์แรกของพวกเขานับตั้งแต่ยุคที่มี โชเซ่ มูรินโญ่ คุมทีมเมื่อปี 2016-17
ขณะที่สถานการณ์ในพรีเมียร์ลีก ทีมปีศาจแดงเริ่มต้นฤดูกาลอย่างยากลำบากเมื่อแพ้ตั้งแต่ 2 นัดแรกของซีซั่น แต่หลังจากนั้นก็ค่อยๆ เรียกฟอร์มกลับมา และทำอันดับไต่ขึ้นมาอยู่หัวตาราง แม้ว่ามาตรฐานในภาพรวมจะยังไม่สามารถขึ้นไปขับเคี่ยวแย่งแชมป์กับ แมนฯ ซิตี้ และ อาร์เซน่อล ได้ แต่สุดท้าย แมนฯ ยูไนเต็ด ก็จบฤดูกาลด้วยการครองอันดับ 3 คว้าโควต้าไปเล่นใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้าได้สำเร็จ ซึ่งถือว่าเป็นเป้าหมายข้อแรกที่ต้องทำให้ได้ในปีนี้ และสุดท้ายก็ไม่พลาด
แม้ว่าใน ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก จะไปไม่ถึงฝั่งฝัน แต่ใน เอฟเอ คัพ นั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ทำได้ดีแทบทุกรอบ แม้ว่าอาจจะมีดวงในการจับสลากอยู่บ้าง เนื่องจากไม่ได้เจอทีมในระดับเดียวกันเลย แต่ก็เจอกับคู่แข่งที่เป็นทีมจากพรีเมียร์ลีกถึง 3 รอบด้วยกัน โดยในรอบที่ 3 พวกเขาต้องเจอกับ เอฟเวอร์ตัน แต่ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังเล่นได้เหนือกว่า และเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ 3-1
จากนั้นในรอบที่ 4 ทีมปีศาจแดงเจองานไม่หนัก เมื่อต้องเจอกับ เร้ดดิ้ง ก่อนจะเอาชนะไปด้วยสกอร์ 3-1 เช่นกัน จากนั้นในรอบที่ 5 ต้องโคจรมาเจอกับ เวสต์แฮม ก็ยังเดินหน้าต่ออย่างมั่นคง เมื่อจัดการทุบขุนค้อนไป 3-1 และในรอบก่อนรองชนะเลิศ พวกเขาต้องเจอกับ ฟูแล่ม ทีมน้องใหม่แต่หน้าเก่า ที่มีผลงานในพรีเมียร์ลีกปีนี้ค่อนข้างน่าประทับใจ และเกมนี้ผู้มาเยือนอย่าง ฟูแล่ม ก็สร้างปัญหาให้ไม่น้อย เมื่อเป็นฝ่ายเล่นได้ดีกว่าอย่างชัดเจน แถมยังออกนำได้ก่อนในช่วงต้นครึ่งหลังจาก อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช
แต่แล้ว จุดเปลี่ยนสำคัญก็มาเกิดขึ้นในนาทีที่ 72 เมื่อ วิลเลี่ยน ไปทำแฮนด์บอลในเขตโทษ ส่งผลให้โดนใบแดงและเป็นจุดโทษของปีศาจแดงทันที นั่นทำให้ มิโตรวิช ที่ไม่พอใจการตัดสิน ได้เข้าไปโต้เถียงกับกรรมการอย่างหนัก ก่อนจะน็อตหลุดเอามือไปผลักที่ตัวผู้ตัดสิน ทำให้โดนใบแดงไล่ออกไปอีกราย
นั่นเท่ากับว่า แมนฯ ยูไนเต็ด นอกจากจะตีเสมอได้แล้ว ยังได้เปรียบเรื่องตัวผู้เล่นอีก 2 คน ทำให้ในช่วงเวลาที่เหลือจะยิงเพิ่มได้อีก 2 ลูก ก่อนจะเอาชนะไปด้วยสกอร์ 3-1
จากนั้นในรอบรองชนะเลิศ แมนฯ ยูไนเต็ด เข้ามาเจอกับ ไบรท์ตัน ซึ่งถือว่าไม่ง่ายเลย เพราะ ไบรท์ตัน ถือเป็นทีมขนาดเล็กที่เล่นได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อในฤดูกาลนี้ แนวทางการเล่นยังดูดีกว่าทีมใหญ่หลายทีมด้วยซ้ำ และแน่นอนว่านี่เป็นเกมที่สูสีกันอย่างมาก ต่างฝ่ายต่างมีโอกาสแต่ก็ทำอะไรกันไม่ได้ ทำให้ครบ 120 นาที เกมจบลงด้วยการเสมอกันไป 0-0 ต้องไปตัดสินกันในการดวลจุดโทษชี้ขาด ซึ่งก็ยังสูสีกันแบบสุดๆ แต่สุดท้ายแล้วเป็น แมนฯ ยูไนเต็ด ที่แม่นกว่า เอาชนะไปได้ 7-6 ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศไปได้
การพบกันระหว่าง แมนฯ ซิตี้ และ แมนฯ ยูไนเต็ด ในเอฟเอ คัพ ฤดูกาลนี้ จึงเป็นอะไรที่น่าติดตามและน่าลุ้นมากๆ เพราะไม่เพียงแค่เป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีและมีถ้วยแชมป์ที่เป็นเดิมพันแล้ว อย่างที่รู้กันว่าทีมเรือใบสีฟ้ากำลังมีลุ้นที่จะทำ "ทริปเปิ้ลแชมป์" ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร และจะเป็นทีมที่สองต่อจาก แมนฯ ยูไนเต็ด หากว่าพวกเขาทำได้สำเร็จ เนื่องจากก่อนหน้านี้พวกเขาผ่านเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะพบกับ อินเตอร์ มิลาน ในวันที่ 10 มิถุนายนนี้
ดังนั้น ถ้าหากพวกเขาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด ในวันเสาร์นี้ได้ ก็จะเหลืออีกแค่ก้าวเดียวเพื่อสร้างประวัติศาสตร์ให้สำเร็จ และยังเป็นการประกาศให้โลกรู้ด้วยว่าพวกเขาไม่ได้มีศักดิ์ศรีที่เป็นรองเพื่อนร่วมเมืองฝั่งสีแดงอีกต่อไป
แต่ในทางกลับกัน แมนฯ ยูไนเต็ด ก็มีโอกาสในมือของตัวเองที่จะขัดขวางไม่ให้ทีมเรือใบสีฟ้าสร้างประวัติศาสตร์ขึ้นมาเทียบเคียงกับตัวเองได้ นอกจากนี้ถ้าหากเป็นฝ่ายเอาชนะเพื่อนร่วมเมืองในเกมนี้ได้ ก็จะเป็นแชมป์ที่สองของทีมปีศาจแดงในฤดูกาลนี้ด้วย และก็น่าจะพูดได้เต็มปากว่านี่เป็นอีกฤดูกาลที่น่าจดจำสำหรับพวกเขาเช่นเดียวกัน
แน่นอนว่า แมนฯ ซิตี้ ถูกยกให้เหนือกว่าทุกกระบวนท่า แต่ต้องไม่ลืมว่าเกมนี้เล่นกันที่ เวมบลีย์ ซึ่งเป็นสนามกลาง นอกจากนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ก็เคยแสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาก็เอาชนะ ซิตี้ ได้เช่นกันในเกมพรีเมียร์ลีกที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ด้วยสกอร์ 2-1 แม้ว่าการไปเยือนที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม จะโดนเจ้าบ้านทิ้งบอมบ์ไปถึง 6-3 ก็ตาม
ใครจะเป็นฝ่ายคว้าชัยในศึกแห่งศักดิ์ศรีครั้งนี้ และคว้าโทรฟี่แชมป์อันทรงเกียรติไปครอง ติดตามได้ในการถ่ายทอดสดเกมเอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ วันเสาร์ที่ 3 มิถุนายนนี้ เวลา 21.00 น. ที่ ทรูวิชั่นส์ ทางช่อง beIN Sports 3 ช่อง 609
ภาพจาก Getty Images
อัปเดตข่าวล่าสุดก่อนใคร :
Website : www.truevisions.co.th
Facebook : Truevisions
Twitter : @TrueVisions
Line : @Truevisions
Youtube official : Truevisionsofficial
Instagram : Truevisionsofficial