ฟุตบอลแอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ เดินทางมาถึงรอบชิงชนะเลิศแล้ว และก็เป็นทาง เซเนกัล ที่เข้ามาเจอกับ อียิปต์ แบบที่ต้องบอกว่าพลิกความคาดหมายพอสมควร ที่ต้องบอกแบบนั้นก็เป็นเพราะว่า ถ้าใครได้ติดตามรายการนี้ตั้งแต่รอบแรก จะรู้เลยว่าทั้งสองทีมต่างมีฟอร์มการเล่นที่ไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะ อียิปต์ ที่ถึงแม้ว่ามี โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ดาวยิงของ ลิเวอร์พูล เป็นตัวชูโรงก็จริง แต่เอาเข้าจริง ซาลาห์ ไม่ได้อยู่ในฟอร์มในระดับเดียวกับที่เล่นให้ทีมหงส์แดงเลย ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเรื่องขององค์ประกอบทีมด้วย
ขณะเดียวกัน อียิปต์ ผ่านในแต่ละรอบมาแบบค่อนข้างทุลักทุเล คือแทบจะหาเกมที่เล่นได้สุดยอดแทบไม่ได้เลย ส่วนใหญ่จะเป็นการเฉือนชนะ หรือไม่ก็ไปชนะในช่วงการดวลจุดโทษ โดยในรอบน็อคเอาท์พวกเขาต้องเล่นถึง 120 นาที และต้องไปตัดสินในช่วงยิงจุดโทษถึงสองครั้ง การหักด่าน แคเมอรูน เจ้าภาพที่เล่นได้แข็งแกร่งมาตลอดในรอบรองชนะเลิศ พอจะพูดได้เหมือนกันว่าเทพีแห่งโชคนั้นยืนอยู่ฝั่ง อียิปต์ มากกว่า
ขณะที่่ เซเนกัล เป็นเหมือนเครื่องดีเซล เครื่องร้อนช้า รอบแรกชนะได้แค่เกมเดียว แต่พอเริ่มเข้าสู่รอบน็อคเอาท์ ฟอร์มก็ค่อยๆ เริ่มจะดีขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะ ซาดิโอ มาเน่ ที่กลายเป็นตัวแบกของทีมมากขึ้นเรื่อยๆ และมาฟอร์มพีคในเกมรอบรองชนะเลิศที่ทั้งยิงทั้งจ่าย ช่วยให้ เซเนกัล ทะลุมาถึงรอบชิงชนะเลิศได้อย่างสวยหรู
นอกจากนี้ การปะทะกันของ เซเนกัล และ อียิปต์ นอกเหนือจากจะเป็นการแย่งชิงความเป็นหนึ่งแห่งทวีปแอฟริกาแล้ว ยังเป็นการดวลกันระหว่างสองนักเตะจาก ลิเวอร์พูล ด้วยกันเองอย่าง ซาลาห์ และ มาเน่ ซึ่งในระดับสโมสร แม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพื่อนร่วมทีมกัน แต่ก็มักจะมีคนเปรียบเทียบฟอร์มสองคนนี้อยู่เสมอ
ดังนั้น การมาเจอกันในระดับทีมชาติที่มีแชมป์ระดับทวีปเป็นเดิมพัน เชื่อเหลือเกินว่าทั้งคู่คงจะต้องวางความเป็นมิตรภาพระหว่างกันลงไปเสียก่อน เพราะแชมป์รายการนี้ สำคัญกับทั้งคู่มากจริงๆ เพราะถ้าใครเป็นฝ่ายชนะ นี่คือแชมป์แอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ ครั้งแรกของทั้งคู่ ยิ่งไปกว่านั้น คนที่เป็นแชมป์ครั้งนี้ บางทีอาจจะได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของแอฟริกาแถมมาด้วยอีกหนึ่งรางวัลก็เป็นได้
[เส้นทางสู่รอบชิงชนะเลิศ]
อย่างที่บอกไปข้างต้นว่า เซเนกัล เริ่มต้นรอบแรกของรายการนี้แบบไม่ค่อยน่าประทับใจ พวกเขาไม่แพ้ใครเลยก็จริงใน 3 เกมแรกของรอบแบ่งกลุ่ม แต่ก็ชนะได้แค่เกมเดียว คือการชนะ ซิมบับเว 1-0 ที่เหลือคือเสมอ 0-0 ทั้งหมด กับ กินี และ มาลาวี เท่ากับว่ารอบแรกเก็บไปเพียง 5 คะแนน ยิงได้แค่ลูกเดียวจากผลงานของ มาเน่ แถมยังเป็นประตูที่เป็นลูกจุดโทษอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม พอเข้าสู่รอบน็อคเอาท์ ผลงานของ เซเนกัล ก็เริ่มค่อยๆ ดีขึ้น โดยในรอบ 16 ทีม พวกเขาทุบเอาชนะ เคปเวิร์ด ไปได้แบบสบายๆ 2-0 จากผลงานของ มาเน่ และ บัมบ้า เดียง แม้ว่า มาเน่ จะเสี่ยงต่อการกระทบกระเทือนที่ศีรษะจนต้องโดนเปลี่ยนตัวออก หลังไปชนกับผู้รักษาประตูคู่แข่ง แต่สุดท้ายก็ไม่มีปัญหาอะไร เจ้าตัวกลับมาซ้อมได้ และยังลงเล่นได้ต่อเนื่องทันทีในรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่เจอกับ อีควาทอเรียล กินี ก่อนจะเอาชนะไปได้อีกด้วยสกอร์ 3-1
จากนั้นในรอบรองชนะเลิศ เซเนกัล มีความโชคดีอย่างหนึ่งตรงที่ในรอบน็อคเอาท์ พวกเขาเจอกับคู่แข่งที่เป็นรองกว่าทั้งหมด ตามเส้นทางในรอบนี้พวกเขาควรต้องเจอกับ กาบอง หรือ ไนจีเรีย แต่กลายเป็นม้ามืดอย่าง บูร์กินาฟาโซ ที่เข้ามาแทน นั่นทำให้ในรอบตัดเชือก เซเนกัล เล่นได้อย่างสบายใจ พวกเขาเหนือกว่าอย่างชัดเจน ก่อนจะทุบเอาชนะไปได้แบบสบาย 3-1 โดยเกมนี้ มาเน่ โชว์ฟอร์มได้โดดเด่นสุดๆ ทำ 1 ประตูกับ 1 แอสซิสต์ เป็น แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ไปแบบไร้ข้อกังขา พาทีมผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้เป็นสมัยที่สองติดต่อกัน หลังจากเมื่อปี 2019 เซเนกัล ก็มาถึงรอบชิงชนะเลิศ แต่ไปแพ้ แอลจีเรีย 0-1 ได้แค่รองแชมป์เท่านั้น
มาดูทางฝั่ง อียิปต์ กันบ้าง ที่บอกว่า เซเนกัล เริ่มรอบแรกด้วยฟอร์มไม่ค่อยน่าประทับใจ แต่ อียิปต์ นั้นหนักยิ่งกว่า เพราะประเดิมเกมแรกก็แพ้ต่อ ไนจีเรีย เลย 0-1 ยังดีที่คืนฟอร์มได้ในอีกสองเกมต่อมา แต่ก็ยังไม่ค่อยสะใจกองเชียร์นัก เมื่อทำได้แค่เฉือนชนะ กินี บิสเซา และ ซูดาน ด้วยสกอร์ 1-0 เหมือนกันทั้งสองเกม โดยใน 3 เกมของรอบแบ่งกลุ่ม ซาลาห์ ยิงได้เพียงประตูเดียวเท่านั้นในเกมกับ กินี บิสเซา
มาถึงในรอบ 16 ทีมสุดท้าย อียิปต์ ต้องมาเจอกับของแข็งอย่าง ไอวอรี่ โคสต์ ซึ่งกว่าจะรู้ผลก็ต้องเล่นกันยาว 120 นาที เสมอกัน 0-0 ต้องไปตัดสินด้วยการยิงจุดโทษ ก่อนที่ อียิปต์ จะแม่นกว่า เอาชนะไป 5-4
ต่อจากนั้นในรอบ 8 ทีมสุดท้าย หรือรอบก่อนรองชนะเลิศ อียิปต์ ต้องมาเจอกับ โมร็อกโก ซึ่งก็เป็นงานหนักเช่นกัน เพราะ โมร็อกโก ชุดนี้มีนักเตะหลายรายที่ค้าแข้งให้ทีมใหญ่ในยุโรป แต่ อียิปต์ ที่โดนนำไปก่อนตั้งแต่ 7 นาทีแรก ตามตีเสมอได้ในช่วงต้นครึ่งหลังจาก ซาลาห์ จบ 90 นาทีเสมอกัน 1-1 ต้องไปลุ้นต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษ ก่อนที่ เทรเซเก้ต์ กองหน้าอีกคนของ อียิปต์ จะมายิงประตูชัยในนาทีที่ 100 ช่วยให้ "ฟาโรห์" หักด่าน โมร็อกโก ได้สำเร็จ
มาถึงรอบรองชนะเลิศ คราวนี้ อียิปต์ เจองานยากที่สุด เมื่อต้องพบกับ แคเมอรูน เจ้าภาพที่เล่นดีแทบจะทุกนัด ยิงมาแล้ว 11 ประตูจาก 5 เกมที่ผ่านมา แถมยังมีแนวรุกที่อันตรายอย่าง แว็งซองต์ อาบูบาการ์ ที่ยิงไปแล้ว 6 ประตู นำเป็นดาวซัลโวของทัวร์นาเมนท์
ก่อนเกมจะเริ่มขึ้น ผู้สันทัดกรณีต่างมองแบบเดียวกันว่า อียิปต์ ไม่น่ารอด เพราะ แคเมอรูน เล่นได้ดีมากจริงๆ แถมยังมีความได้เปรียบจากการเป็นเจ้าภาพและเสียงเชียร์ ซึ่งรูปเกมที่ออกมา ก็ต้องยอมรับว่า แคเมอรูน เล่นได้ดีกว่าจริงๆ สร้างโอกาสได้มากกว่า แต่ปัญหาคือพวกเขาดันยิงประตูขึ้นนำไม่ได้เสียที จนในที่สุดครบ 120 นาทีในการต่อเวลาพิเศษ ก็ยังยิงกันไม่ได้ เสมอกัน 0-0 ต้องไปตัดสินด้วยการยิงจุดโทษอีกแล้ว
และก็น่าเหลือเชื่อ อาจจะเป็นเพราะเสียความมั่นใจหรือเกร็งกันไปเองหรือเปล่าก็ไม่ทราบ เมื่อ แคเมอรูน ยิงเข้าเพียงคนเดียวจาก อาบูบาการ์ ที่รับหน้าที่สังหารเป็นคนแรก แต่หลังจากนั้นอีก 3 คนต่อมายิงพลาดหมด ขณะที่ 3 คนแรกของ อียิปต์ ยิงไม่พลาดเลยสักคน ทำให้พวกเขาชนะไป 3-1 ล้ม แคเมอรูน ได้แบบไม่มีใครอยากเชื่อ ก่อนจะลอยลำเข้าไปเจอกับ เซเนกัล ในรอบชิงชนะเลิศทันที
[สถิติในการพบกัน]
นับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา เซเนกัล กับ อียิปต์ เคยเจอกันมาทั้งหมด 7 ครั้ง ผลปรากฏว่าต่างฝ่ายต่างเอาชนะกันไปได้ฝั่งละ 3 ครั้งเท่ากัน ส่วนอีกหนึ่งครั้งทั้งคู่เสมอกัน การพบกันครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2014 เป็นรายการแอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ รอบคัดเลือก ซึ่งเป็นทาง เซเนกัล บุกชนะ อียิปต์ ได้ 1-0 จากประตูชัยของ มาเม่ บิรัม ดิยุฟ ตั้งแต่นาทีที่ 8
จะเห็นได้ว่าสถิติสูสีกันมาก กินกันไม่ลง แต่อย่างไรก็ตาม การพบกันครั้งล่าสุดก็ผ่านมาถึง 8 ปีแล้ว อาจจะเอามาวัดอะไรไม่ได้มากนักเพราะผู้เล่นชุดปัจจุบันของทั้งสองทีมต่างก็เปลี่ยนโฉมไปไม่เหลือเค้าเดิมแล้วด้วยเช่นกัน
[การดวลกันระหว่าง มาเน่ และ ซาลาห์]
สำหรับแฟนลิเวอร์พูลแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นอีกเรื่อง เพราะก่อนที่ทัวร์นาเมนท์จะเริ่ม เชื่อว่าแฟนหงส์หลายคนคงอยากจะให้ เซเนกัล และ อียิปต์ ตกรอบไวๆ ทั้ง มาเน่ และ ซาลาห์ จะได้กลับมาช่วยสโมสรได้เร็วๆ แต่ไปๆ มาๆ ทีมชาติของทั้งคู่ต่างฝ่าด่านมาถึงรอบชิงชนะเลิศกันได้ซะอย่างนั้น ดังนั้นตอนนี้เป็นที่่แน่นอนแล้วว่า ไม่ว่าผลในคืนวันอาทิตย์นี้จะเป็นอย่างไร จะมีนักเตะจากลิเวอร์พูลได้แชมป์ แอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ อย่างแน่นอน
แต่สำหรับทั้งสองคนแล้ว แน่นอนว่าคงไม่มีใครยอมใคร เพราะปกติก็มักจะถูกเปรียบเทียบกันเวลาที่เล่นให้ ลิเวอร์พูล อยู่แล้ว และแม้ว่าทั้งคู่จะเป็นเพื่อนกัน แต่เวลาลงสนามก็มักจะถูกหลายคนสังเกตว่าทั้งคู่เหมือนจะมีความชิงดีชิงเด่นกันอยู่ในที แม้ว่าจะทำเพื่อทีม แต่บางครั้งก็หลุดเล่นแบบเห็นแก่ตัวออกมาอยู่บ้างเหมือนกัน
ที่สำคัญ ทั้ง มาเน่ และ ซาลาห์ ต่างก็เคยเข้าชิงฟุตบอลรายการนี้มาแล้วด้วยกันทั้งคู่ โดย เซเนกัล เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่แล้วในปี 2019 ซึ่งครั้งนั้นเป็น แอลจีเรีย ที่ชนะไป 1-0 ส่วนทาง อียิปต์ ของ ซาลาห์ เกิดขึ้นในปี 2017 ซึ่งครั้งนั้นเป็น แคเมอรูน ที่เป็นฝ่ายชนะไป 2-1
นั่นหมายความว่า ครั้งนี้จะเป็นแชมป์ครั้งแรกของ มาเน่ และ ซาลาห์ ทันที หากสามารถพาทีมเอาชนะในเกมรอบชิงชนะเลิศได้ แน่นอนว่าจะมีคนที่สมหวัง และมีคนที่ต้องผิดหวังอย่างช่วยไม่ได้
และที่สำคัญ คนที่เป็นแชมป์มีสิทธิ์สูงมากที่อาจจะได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของแอฟริกาไปครองด้วยเช่นกัน โดยทั้ง มาเน่ และ ซาลาห์ ต่างก็เคยได้รางวัลนี้มาแล้ว โดย ซาลาห์ ได้ไปในปี 2017 และ 2018 แต่ในปี 2019 เป็น มาเน่ ที่ได้ไป การดวลกันในครั้งนี้จึงถือเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีจริงๆ
สำหรับศึกแอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ รอบชิงชนะเลิศ จะแข่งขันกันในคืนวันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์นี้ ในช่วงกลางดึกเวลา 02.00 น. ระหว่าง เซเนกัล กับ อียิปต์ ใครจะได้หัวเราะ ใครจะเป็นฝ่ายร้องไห้ ติดตามการถ่ายทอดสดได้ทาง ทรู วิชั่นส์ ผ่านทางช่อง บีอิน สปอร์ต 2 ช่อง 608 เท่านั้น
อัปเดตข่าวล่าสุดก่อนใคร :
Website : www.truevisions.co.th
Facebook : Truevisions
Twitter : @TrueVisions
Line : @Truevisions
Youtube official : Truevisionsofficial
Instagram : Truevisionsofficial