เอฟเอ คัพ แชมป์ที่มีความหมายสำหรับเชลซีและลิเวอร์พูล

เอฟเอ คัพ แชมป์ที่มีความหมายสำหรับเชลซีและลิเวอร์พูล
ในที่สุด ศึก เอฟเอ คัพ 2021-22 ก็เดินทางมาถึงในรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งในปีนี้เป็นการปะทะกันระหว่าง เชลซี กับ ลิเวอร์พูล ถือว่าเป็นคู่ชิงชนะเลิศที่สมน้ำสมเนื้อไม่น้อย...

ที่ต้องบอกแบบนั้นก็เป็นเพราะว่า นี่เป็นการผ่านเข้ามาเจอกันในรอบชิงดำบอลถ้วยเป็นครั้งที่สองแล้วในฤดูกาลนี้ หลังจากที่ในศึกคาราบาว คัพ เจอกันมาก่อนแล้วหนึ่งยก และในครั้งนั้นเป็นทาง ลิเวอร์พูล ที่คว้าโทรฟี่ไปครองได้ หลังจากเอาชนะ เชลซี ไปในช่วงดวลจุดโทษ


ในครั้งนั้น ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายที่สมหวัง และเริ่มนับแชมป์แรกของพวกเขาในฤดูกาลนี้ แต่สำหรับทางฝั่ง เชลซี เชื่อว่าพวกเขาคงรู้สึกผิดหวังไม่น้อย เพราะอันที่จริงแล้ว ในช่วงเวลา 90 นาที หรือจนถึงในช่วงต่อเวลาพิเศษ 120 นาที ทีมสิงห์บลูส์ไม่ได้เล่นเป็นรอง และมีโอกาสเอาชนะทีมหงส์แดงด้วยซ้ำ แต่กลับไม่เฉียบคมกันเอง


ดังนั้น การโคจรกลับมาเจอกันในครั้งนี้ และเป็นถ้วยที่ใหญ่กว่าเดิม ย่อมทำให้ เชลซี ต้องตั้งใจเป็นพิเศษ เพราะนี่คือโอกาสที่พวกเขาจะได้ล้างตา และจบฤดูกาลแบบสวยๆ ด้วยการมีโทรฟี่แชมป์ติดมือ


หากจะพูดถึงสถานการณ์โดยรวมของทั้งสองทีม ปีนี้ถือว่าเป็นปีที่ยอดเยี่ยมมากๆ สำหรับ ลิเวอร์พูล เพราะอย่างที่เราทราบกันดีว่า พวกเขามีลุ้นแชมป์ครบทั้ง 4 รายการ แถมยังไปถึงนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยได้ครบทั้งหมด ขณะที่ในพรีเมียร์ลีกก็เบียดแย่งแชมป์กับทาง แมนฯ ซิตี้ ได้อย่างสนุกสูสี


แม้ว่าตอนนี้ โอกาสในการจะได้แชมป์พรีเมียร์ลีกสำหรับ ลิเวอร์พูล เริ่มจะยากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว หลังโดนทีมเรือใบสีฟ้าทิ้งห่างไป 3 แต้ม แถมยังมีผลต่างประตูได้เสียที่ดีกว่าหงส์แดงถึง 7 ลูก นั่นหมายความว่า หากวันอาทิตย์นี้ แมนฯ ซิตี้ บุกไปเอาชนะ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ได้ ถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกน่าจะอยู่ในมือพวกเขาเกิน 95 เปอร์เซ็นต์แล้ว


อาจเป็นเรื่องน่าเสียดายสำหรับ ลิเวอร์พูล หากว่าไม่มีอะไรพลิกล็อค แต่ถึงอย่างนั้น ฤดูกาลนี้ก็ยังเป็นฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมมากสำหรับพวกเขาอยู่ดี โดยเฉพาะเหล่า เดอะ ค็อป ที่คงจะดูฟุตบอลอย่างมีความสุขแทบจะทุกนัด


อาจจะไม่ได้ 4 แชมป์ แต่ถ้าฟุตบอลถ้วยที่เหลือ ทั้ง เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก พวกเขาเอาชนะคู่แข่งในรอบชิงชนะเลิศได้ จะเป็นอีกหนึ่งฤดูกาลที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ทำให้เหล่าสาวกหงส์แดงมีความสุขจนจนแทบล้นทะลัก


ดังนั้น เกมในวันอาทิตย์จะเป็นอย่างไร แมนฯ ซิตี้ จะบุกไปอัดขุนค้อนได้หรือไม่ เหล่านักเตะของ ลิเวอร์พูล คงต้องพักเรื่องนั้นไว้ก่อน แล้วหันมาโฟกัสกับเกมนี้อย่างเต็มที่ เพราะอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น พวกเขาก็จะคว้าแชมป์ที่สองของตัวเองในปีนี้


หันมาดูทางฝั่ง เชลซี กันบ้าง ปีนี้พวกเขามีฟอร์มการเล่นที่น่าประทับใจไม่น้อย โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของฤดูกาล มีช่วงเวลาหนึ่งที่ขยับขึ้นไปเป็นจ่าฝูง และสามารถพูดได้เต็มปากว่ามีลุ้นที่จะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกได้เหมือนกัน


อย่างไรก็ตาม ด้วยปัญหาหลายอย่าง ทำให้ฟอร์มการเล่นของพวกเขาไม่สม่ำเสมอ จนไปๆ มาๆ ทำได้เพียงลุ้นคว้าอันดับ 3 เท่านั้น แต่ในรายการสำคัญอย่าง ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ และ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ ทัพสิงห์บลูส์นั้นไม่พลาดที่จะคว้าแชมป์ ดังนั้นอย่างน้อยฤดูกาลนี้ก็ไม่ใช่ปีที่น่าผิดหวังมากมายขนาดนั้น


ยิ่งในช่วงปลายฤดูกาล เรื่องราวของ โรมัน อบราโมวิช เจ้าของทีมชาวรัสเซียที่เจอปัญหาทางการเมือง จนทำให้ถูกบีบให้ต้องยอมขายสโมสรอันเป็นที่รักออกไป กลายเป็นปัญหาและเป็นผลกระทบทางความรู้สึกต่อทุกคนที่เกี่ยวข้องกับ เชลซี อย่างช่วยไม่ได้ ดังนั้น การที่ต้องเจอกับเรื่องราวกระทบจิตใจแบบนี้ แต่ถ้าหาก เชลซี ประคองตัวจบอันดับ 3 ในพรีเมียร์ลีก และปิดท้ายด้วยการคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ มาครอง ก็ถือว่าน่าจะเป็นปีที่พูดได้ว่าประสบความสำเร็จสำหรับ เชลซี เหมือนกัน


เกมนัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ในปีนี้ ถ้วยแชมป์จึงมีความหมายสำหรับทั้งสองทีมมาก ทีมหนึ่งก็ต้องการลุ้น 4 แชมป์ (แม้ว่าตอนนี้อาจจะเหลือแค่ 3 แบบไม่เป็นทางการก็ตาม) ส่วนอีกทีมก็ต้องการคว้าถ้วย เพื่อโชว์ให้เห็นว่าแม้จะเจอกับปัญหาหลายอย่าง แต่พวกเขาก็ยังมีแชมป์ติดมือ และแชมป์รายการนี้ ยังเป็นแชมป์ส่งท้ายให้กับ "เสี่ยหมี" เจ้าของทีมที่ดีที่สุดตลอดกาลของ เชลซี อีกด้วย


ในส่วนของการพบกัน หากว่านับเฉพาะในรายการเอฟเอ คัพ เชลซี กับ ลิเวอร์พูล เคยเจอกันมาทั้งหมด 11 ครั้ง และเป็น เชลซี ที่มีสถิติที่ดีกว่า เมื่อเป็นฝ่ายชนะไปได้ 7 หน ขณะที่ทีมหงส์แดงชนะได้ 4 ครั้ง


ครั้งล่าสุดที่พบกันคือเมื่อฤดูกาล 2019-20 เป็นการแข่งขันในรอบที่ 5 ซึ่ง เชลซี เล่นที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ เอาชนะ ลิเวอร์พูล ไปได้ 2-0 จากการทำประตูของ วิลเลี่ยน และ รอสส์ บาร์คลี่ย์


ส่วนครั้งสุดท้ายที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เชลซี ได้ใน เอฟเอ คัพ นั้น น่าเหลือเชื่อเมื่อต้องย้อนไปไกลถึงฤดูกาล 2005-06 โดยทั้งคู่มาเจอกันในรอบรองชนะเลิศที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด และเป็น ลิเวอร์พูล เฉือนชนะไปได้ 2-1 โดยผู้ที่ทำประตูให้หงส์แดงในวันนั้นคือ ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่ และ หลุยส์ การ์เซีย ส่วน เชลซี ได้จาก ดีดิเย่ร์ ดร็อกบา


หากมองที่สถิติ เชลซี ดูจะเหนือกว่า แต่เมื่อต้องเจอกับ ลิเวอร์พูล ชั่วโมงนี้ บางทีสถิติที่ดีกว่าก็อาจจะไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก


อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเกมที่สูสีกันมาก โอกาสแพ้ชนะสำหรับทั้งสองทีมสามารถเกิดขึ้นได้พอๆ กัน และ โธมัส ทูเคิ่ล กุนซือของ เชลซี ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เกรงกลัวฝีมือการคุมทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ สักเท่าไหร่ หลังจากที่เจอกันมา 3 ครั้งในฤดูกาลนี้ ทีมสิงโตน้ำเงินครามก็สู้กับ ลิเวอร์พูล ได้ดี และมีลุ้นจะชนะได้เหมือนกัน


ดังนั้นเกมในวันนี้จึงเป็นอะไรที่ต้องลุ้นระทึกสำหรับกองเชียร์ทั้งสองทีม และสุดท้ายแล้วใครจะเป็นฝ่ายที่ได้โทรฟี่สีเงินยวงไปครอบครอง สามารถติดตามการถ่ายทอดสดได้ทาง True Visions ที่เดียวเท่านั้น ผ่านทางช่อง beIN Sports ช่อง 607 ในเวลา 22.45 น. เป็นต้นไป

ภาพจาก Getty Images

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อัปเดตข่าวล่าสุดก่อนใคร :

Website : www.truevisions.co.th

Facebook : Truevisions

Twitter : @TrueVisions

Line : @Truevisions

Youtube official : Truevisionsofficial

Instagram : Truevisionsofficial