ถัดมาไม่กี่อึดใจแฟนตบลูกขนไก่ไทยก็ได้เฮกันต่อเนื่อง กับการที่ทีมแบดมินตันชาย ผงาดคว้าเหรียญทองตามมาติดๆ และที่สำคัญเหรียญทองเหรียญนี้ของทีมชายไทย นับเป็นเหรียญประวัติศาสตร์ที่เราสามารถทำได้ในรอบ 47 ปี เลยทีเดียว
ย้อนกลับไปก่อนเริ่มการแข่งขัน แน่นอนว่าทีมแบดมินตันไทย ถือเป็นอีกหนึ่งความหวังอันดับต้นๆที่จะสร้างความสำเร็จในมหกรรมซีเกมส์ แค่ก็ต้องยอมรับว่าระหว่างทีมหญิงกับทีมชาย แฟนกีฬารวมถึงสมาคมฯต่างก็ตั้งความหวังเอาไว้กับทีมหญิงมากกว่า เพราะเมื่อเทียบตัวนักกีฬากันแล้ว ทีมหญิงของเราอยู่ในช่วงเวลาที่กำลังท็อปฟอร์ม
ส่วนทีมชายก็หวังถึงการติดเหรียญ แต่ไม่ได้มองไกลถึงขั้นก้าวไปคว้าเหรียญทอง เพราะต้องไม่ลืมว่าการแข่งขันกีฬาแบดมินตันในระดับซีเกมส์ แทบจะไม่ได้ต่างอะไรกับเวทีระดับโลกที่เต็มไปด้วยนักกีฬามือดีมากมายเข้าร่วมชิงชัย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับทีมชาติอินโดนีเซีย เจ้าของบัลลังก์แชมป์ซีเกมส์ 17 สมัย แถมก่อนหน้านี้พวกเขายังกวาดเหรียญทองมาแล้ว 3 ครั้งติดต่อกัน ซึ่งแน่นอนว่าในซีเกมส์ครั้งนี้พวกเขาก็มาพร้อมกับเป้าหมายป้องกันแชมป์ให้ได้สถานเดียว แถมยังลงสนามในนามเต็ง 1 ของรายการ
ยิ่งเมื่อเทียบกับทีมแบดมินตัน ชายไทย ที่ในประวัติศาสตร์เราคว้าเหรียญทองซีเกมส์ มาเพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้น และต้องย้อนกลับไปในปี ในปี 1973 และ 1975 พูดง่ายๆคือเรารอคอยเหรียญทองมานานถึง 47 ปีเต็มๆ
เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็ต้องยอมรับตามตรงว่าเป็นงานช้างสำหรับทัพตบลูกขนไก่ชายไทย การเดินทางไปครั้งนี้หลายคนก็หวังแค่ให้พวกเขาทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
ทีมแบดมินตันชายไทย เริ่มต้นด้วยการเอาชนะฟิลิปปินส์ สบายๆ 3-0 คู่ ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศไปเจอกับเต็งหนึ่งอย่าง อินโดนีเซีย ซึ่งแน่นอนว่าก่อนการแข่งขันจะเริ่มต้นขึ้น ด้วยคุณภาพทีมแบดมินตันของอินโดฯที่เรารับรู้เป็นอย่างดี จึงไม่มีใครกล้าหวังไกลกับการผ่านด่านสำคัญนี้ไปถึงนัดชิงชนะเลิศ ได้แต่แอบเชียร์แอบลุ้นอยู่ห่างๆ
ทีมชาติไทย เริ่มต้นด้วยการส่ง "วิว" กลุวุฒิ วิทิตศานต์ มืออันดับ 18 ของโลก ลงประเดิมในฐานะเดี่ยวมือ1 ก่อนจะตบเอาชนะ ชิโก้ ดาวี่ วานโดโย่ มืออันดับ 44 ของโลก ไป 2 เกมรวด ขึ้นนำไปก่อน 1-0 คู่
จากนั้นในประเภทชายคู่ ทีมชาติไทยเราส่ง "โอ๊ต" เฉลิมพล เจริญกิจอมร กับ "เบน" นันทกานต์ ยอดไพสง คู่มืออันดับ 196 ของโลก เจอกับของแข็งอย่าง รามุดย่า กูซุมาวาดาม่า กับ เยเมเรีย จาค็อบ รัมบิตัน คู่มืออันดับ 16 ของโลก ก่อนจะพ่ายไปแบบสนุก 1-2 เกม ทำให้แต้มรวมมาเท่ากันที่ 1-1 คู่
เข้าสู่คู่ที่ 3 ในประเภทเดี่ยวมือ2 ทีมชาติไทยส่ง "โอ๊ต" สิทธิคมน์ ธรรมศิลป์ มืออันดับ 30 ของโลก ดวลกับ คริสเตียน อดินาต้า มืออันดับ 156 ของโลก ก่อนที่ตัวแทนจากไทยจะเอาชนะไป 2-1 เกม ขึ้นนำคะแนนรวมอีกครั้งเป็น 2-1 คู่
มาถึงคู่ที่ 4 ในประเภทชายคู่ ไทยส่ง "โอโม่" พรรคพล ธีระรัตน์สกุล กับ "พี" พีรัชชัย สุขพันธ์ คู่มืออันดับ 1,345 ของโลก ดวลกับ ลีโอ โรลลี่ คาร์นานโด้ กับ ดาเนี่ยล มาร์ติน คู่มืออันดับ 26 ของโลก และก็เป็นทางฝั่งอินโดนีเซีย ที่เอาชนะไป 2-0 เกม ตามตีเสมอแต้มรวมเป็น 2-2
เกมยืดเยื้อและต้องมาตัดสินกันในคู่สุดท้าย กับประเภทชายเดี่ยว ทีมชาติไทยส่ง “อิคคิว” พณิชพล ธีระรัตน์สกุล มืออันดับ 545 ของโลก ดวลกับ บ็อบบี้ เซเตียบูดี้ มืออันดับ 320 ของโลก
ก่อนที่สุดท้ายจะเป็น พณิชพล ที่โชว์ฟอร์มเด็ดขาดเอาชนะไป 2-0 เกม ส่งให้ทีมชาติไทย เอาชนะ อินโดนีเซีย ด้วยคะแนนรวม 3-2 คู่ ตีตั๋วผ่านเข้าไปชิงเหรียญทองได้สำเร็จ
โดยในการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศ ทีมชาติไทย ต้องโคจรมาเจอกับอีกหนึ่งทีมแกร่งอย่าง มาเลเซีย ที่การแข่งขันครั้งนี้พวกเขาถูกยกให้เป็นเต็ง 2 ของรายการ
บทสรุปสุดท้าย เป็นทางฝั่งทีมชาติไทย ที่พกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม หลังจากล้มแชมป์ 17 สมัยมาหมาดๆ สามารถตบเอาชนะ ทีมชาติมาเลเซีย ไปแบบขายลอย 3-0 คู่
ประกาศศักดาคว้าเหรียญทองซีเกมส์ไปครองได้อย่างยอดเยี่ยม นับเป็นความสำเร็จของทีมแบดมินตันชายไทย ที่ทำได้ในรอบ 47 ปีเลยทีเดียว
แม้จะเป็นเหรียญทองในระดับซีเกมส์ แต่การที่เรารอคอยเหรียญนี้มานานถึง 47 ปีเต็มๆ มันเต็มไปด้วยคุณค่าทางจิตใจที่จะส่งให้ทัพแบดมินตันชายไทย ได้เพิ่มความมั่นใจก่อนจะออกไปไล่ล่าความสำเร็จที่ใหญ่กว่าเดิม
และเมื่อดูจากทีมชายไทย ที่มีสายเลือดใหม่หลายคนสร้างผลงานที่น่าประทับใจ เชื่อว่าจากนี้ต่อไป แฟนตบลูกขนไก่ไทยก็คงจะได้เชียร์กันอย่างเต็มที่ เพราะนอกจากทีมหญิงที่แข็งแกร่งแล้ว ทัพแบดมินตันไทย ยังมีทีมชายที่ฝากความหวังได้ขึ้นมาอีก
ต้องขอบคุณทางสมาคมกีฬาแบดมินตันไทยฯ รวมถึงทุกส่วนที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาทีมแบดมินตันไทย ให้ยกระดับขึ้นมาเรื่อยๆ
ถึงตรงนี้คงพูดได้อย่างเต็มปากแล้วว่าทัพแบดมินตันไทย ได้ก้าวผ่านและยกระดับตัวเองไปอีกขึ้นหนึ่งแล้ว จากนี้ก็เหลือเพียงแค่ความสำเร็จในเวทีระดับโลก ที่จะไปไล่ไขว่คว้ามาให้แฟนกีฬาชาวไทยได้ภูมิใจกันทั้งประเทศ