ศึก กัลโช่ เซเรีย อิตาลี ในฤดูกาล 2021-22 กลายเป็นฤดูกาลที่สนุกและน่าจดจำอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขับเคี่ยวแย่งแชมป์ระหว่างสองทีมดังจากเมืองมิลาน และในท้ายที่สุดก็เป็น เอซี มิลาน ที่อยู่ในสภาพยักษ์หลับมานานกลับมาผงาดคว้าสคูเด็ตโต้มาครองได้เป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี
1. การกลับมาของ เอซี มิลาน
อย่างที่ทราบกันดีว่า เอซี มิลาน กลายสภาพเป็นยักษ์หลับมานาน จนหลายคนนั้นลืมไปแล้วว่านี่คือหนึ่งในทีมที่มีประวัติศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมมากที่สุดทีมหนึ่ง ทั้งในอิตาลีเองหรือแม้แต่เวทียุโรป แต่หลังจากที่มีการปรับเปลี่ยนเจ้าของทีม มิลาน ก็ค่อยๆ ตกต่ำลง และกลายเป็นทีมที่เหมือนจะเหลือแต่ชื่อเสียงเก่าๆ นักเตะที่เคยมีแต่ระดับซูเปอร์สตาร์ ก็ค่อยๆ กลายเป็นทีมที่ด้อยคุณภาพลง ดีลใหญ่ๆ ที่สร้างความฮือฮาก็ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ มีแต่ใช้วิธียืมตัวมาเล่นเสียมากกว่า จนกลายเป็นทีมจอมยืมตัวไปเลยในช่วงเวลาหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ มิลาน ค่อยๆ มีผลงานดีขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงหลายปีหลัง แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเป็นแชมป์ อย่างในฤดูกาลที่แล้วพวกเขาอาจจะได้อันดับ 2 แต่ก็แพ้ อินเตอร์ มิลาน ไปถึง 12 คะแนน แต่ในฤดูกาลนี้พวกเขากลับทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะนับตั้งแต่เข้าสู่สัปดาห์สุดท้ายของเดือนมกราคมเป็นต้นมา ทีมปีศาจแดง-ดำ ก็ไม่แพ้ใครอีกเลยถึง 16 เกมติดต่อกัน ชนะ 11 เสมอ 5 และในช่วง 6 เกมสุดท้ายของฤดูกาลพวกเขายังเก็บชัยชนะได้เรียบวุธ จนทำให้เดินหน้าคว้าแชมป์ เซเรีย อา มาครองได้ในที่สุด
ทั้งนี้ แชมป์สคูเด็ตโต้ในครั้งนี้ของ มิลาน ถือเป็นสมัยที่ 19 ของพวกเขา และยังเป็นแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 11 ปี หลังจากที่ได้ครั้งล่าสุดในฤดูกาล 2010-11
2. โควต้าแชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ลุ้นอย่างสูสี
ในอิตาลีอาจจะไม่เหมือนในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่การลุ้นโควต้าท็อป 4 มีสองทีมที่จับจองที่นั่งไว้ก่อนแล้วอย่าง แมนฯ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล ที่มาตรฐานการเล่นสูงกว่าใครเพื่อน แต่สำหรับใน เซเรีย อา ในบรรดาทีมในกลุ่มหัวตารางดูจะมีความสูสีคู่คี่กันมากกว่า ดังจะเห็นได้ว่าอันดับที่ 3 อย่าง นาโปลี มีคะแนนแพ้แชมป์อย่าง เอซี มิลาน เพียง 7 แต้มเท่านั้น นั่นทำให้การลุ้นโควต้าท็อป 4 ของอิตาลี เป็นการลุ้นของหลายๆ ทีมจริงๆ
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ เอซี มิลาน และ อินเตอร์ เค้นฟอร์มการเล่นระดับสูงในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล จนทำให้ฉีกหนีไปลุ้นแชมป์กันสองทีม แต่สำหรับอันดับ 3-4 นั้น เป็นการแย่งกันระหว่างทีมอย่าง นาโปลี, ยูเวนตุส, ลาซิโอ และ โรม่า รวมถึง ฟิออเรนติน่า ด้วยอีกทีม แต่ในท้ายที่สุดแล้วก็เป็น นาโปลี และ ยูเวนตุส ที่ฟอร์มคงเส้นคงวามากกว่า เข้าป้ายอันดับ 3 และ 4 ที่ 79 และ 70 แต้มตามลำดับ ขณะที่ ลาซิโอ ทำได้เพียงอันดับ 5 โดยมีแต้มตามหลัง ยูเวนตุส 6 แต้ม
3. หนีตกชั้นลุ้นกันจนถึงนัดสุดท้าย
สามทีมที่ตกชั้นในฤดูกาลนี้อย่าง เวเนเซีย, เจนัว และ กายารี่ มีคะแนนที่ไม่ห่างกันมาก และไม่ได้ถูกทีมที่อยู่ด้านบนทิ้งห่างมากขนาดนั้น โดย ซาแลร์นิตาน่า ทีมอันดับที่ 17 รอดพ้นจากการตกชั้นอย่างหวุดหวิดในวันสุดท้าย โดยมีคะแนนเฉือนอันดับที่ 18 อย่าง กายารี่ เพียงแต้มเดียวเท่านั้น เรียกได้ว่าฉิวเฉียดจริงๆ
ยิ่งถ้าเราดูผลการแข่งขันในวันสุดท้าย จะเห็นได้ว่า ซาแลร์นิตาน่า ควรจะเป็นฝ่ายตกชั้นด้วยซ้ำ เพราะโดน อูดิเนเซ่ บุกมาถล่มคาบ้านถึง 4-0 แต่ทีมอย่าง เจนัว ดันแพ้ต่อ โบโลญญ่า 0-1 คาบ้านเช่นกัน และที่น่าเจ็บใจที่สุดคือ กายารี่ ที่บุกไปเอาชนะ เวเนเซีย ทีมบ๊วยของตารางไม่ได้ ทำให้พวกเขาแพ้ ซาแลร์นิตาน่า ไปแค่แต้มเดียว ซึ่งถ้าเก็บ 3 แต้มได้ในวันสุดท้าย พวกเขาก็คงจะรอดตกชั้นไปแล้วแท้ๆ
4. ดาวซัลโวไม่พลิกโผ อิมโมบิเล่ ยังสุดยอดเหมือนเดิม
ในส่วนของการลุ้นตำแหน่งดาวซัลโวของ เซเรีย อา ยังคงเป็นดาวยิงจอมเก๋าอย่าง ชิโร่ อิมโมบิเล่ ของ ลาซิโอ ที่ยิงระเบิดไปถึง 27 ประตู ทิ้งห่างอันดับ 2 อย่าง เลาตาโร่ มาร์ติเนซ ของ อินเตอร์ มิลาน ไปถึง 6 ลูก ส่วน ดูซาน วลาโฮวิช ที่เคยฟอร์มแรงในช่วงครึ่งซีซั่นแรกกับ ฟิออเรนติน่า ก่อนจะย้ายไป ยูเวนตุส ในช่วงหน้าหนาวที่ผ่านมานั้น ทำได้เพียง 17 ประตู ครองอันดับที่ 3 ร่วมกันกับ โจวานนี่ ซิเมโอเน่ ของ เวโรน่า และ แทมมี่ อับราฮัม ของ โรม่า ในขณะที่ท็อปแอสซิสต์เป็นของ โดเมนิโก้ เบราร์ดี้ กองกลางตัวรุกจาก ซาสซูโอโล่ ที่ทำไปถึง 14 แอสซิสต์เลยทีเดียว
ภาพจาก Getty Images
อัปเดตข่าวล่าสุดก่อนใคร :
Website : www.truevisions.co.th
Facebook : Truevisions
Twitter : @TrueVisions
Line : @Truevisions
Youtube official : Truevisionsofficial
Instagram : Truevisionsofficial