อีกไม่กี่อึดใจ ศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ ประจำฤดูกาล 2021-22 ก็จะระเบิดขึ้น และแน่นอนว่านี่เป็นอีกครั้งที่ ลิเวอร์พูล และ เรอัล มาดริด ต้องโคจรมาเจอกันอีกครั้ง
การพบกันครั้งล่าสุดในรอบชิงชนะเลิศแบบนี้ เกิดขึ้นเมื่อฤดูกาล 2017-18 แม้ว่าจะผ่านมาราวๆ 4 ปีแล้ว แต่ในความทรงจำของแฟนบอลทั้งสองทีม เชื่อว่าน่าจะรู้สึกเหมือนเพิ่งผ่านไปไม่นานเท่านั้น
ภาพจำในวันนั้นที่เต็มไปด้วยเรื่องดราม่ามากมาย ไล่ตั้งแต่อาการบาดเจ็บที่หัวไหล่ของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ จากการเข้าปะทะกับ เซร์คิโอ รามอส จนทำให้กองหน้าทีมชาติอียิปต์ต้องโดนเปลี่ยนตัวออกไปตั้งแต่ 31 นาทีแรก ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ รามอส กลายเป็นนักเตะที่แฟนลิเวอร์พูลเกลียดขี้หน้ามากที่สุดไปโดยปริยาย
จังหวะที่แขนเข้ามาคล้องกัน ก่อนที่ รามอส จะล้มทับ ซาลาห์ จนทำให้เจ็บหัวไหล่นั้น เรื่องนี้พอยกขึ้นมาพูดกันเมื่อไหร่ ย่อมทำให้เหล่า เดอะ ค็อป อารมณ์เสียขึ้นมาทันที จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ (แต่สำหรับแฟนหงส์ร้อยทั้งร้อยเชื่อว่า รามอส ตั้งใจแน่นอน) แต่นั่นคือจุดเปลี่ยนสำคัญของเกม เพราะก่อนหน้าที่ ซาลาห์ จะโดนเปลี่ยนออกนั้น ลิเวอร์พูล กำลังเล่นเกมของตัวเองได้อย่างเมามัน กำลังอยู่ในจังหวะที่ดี และเป็นฝ่ายที่คุมเกมเอาไว้ได้
แต่หลังจากที่บังโมไม่อยู่ในสนาม เกมก็กลับตาลปัตร กลายเป็น เรอัล มาดริด ที่กลับมาเล่นได้เหนือกว่า แถมประตูขึ้นนำ 1-0 ของ คาริม เบนเซม่า ในนาทีที่ 51 นั้น ดันเกิดจากความสะเพร่าของ ลอริส คาริอุส ผู้รักษาประตูมือหนึ่งของ ลิเวอร์พูล ในวันนั้น ที่อยู่ดีๆ ก็กลิ้งบอลแบบไม่ดูตามาตาเรือ ก่อนที่ เบนเซม่า จะแหย่เท้าดักโดนบอล และเข้าประตูไปในที่สุด
เป็นความผิดพลาดระดับอนุบาล ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะกับเกมนัดชิงชนะเลิศแบบนี้ และกับการเผชิญหน้ากับยอดทีมอย่าง เรอัล มาดริด ที่มีพิษสงรอบตัวอยู่แล้ว
แม้ว่า ซาดิโอ มาเน่ จะตามตีเสมอได้หลังจากนั้นไม่นาน แต่ ลิเวอร์พูล ก็มาโดนอีกสองประตู จากความสามารถของ แกเร็ธ เบล ที่วันนั้นยังอยู่ในฟอร์มที่สุดยอด ประตูนำ 2-1 มาจากลูกโอเวอร์เฮด คิก ที่น่ามหัศจรรย์ ส่วนประตูที่ 3 มาจากลูกยิงไกล ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ใช่ลูกที่อันตรายอะไรนัก แต่ก็เป็น คาริอุส ที่ทำพลาดอีกครั้ง เมื่อปัดบอลไม่ดีจนบอลปลิ้นเข้าประตู
ความผิดพลาดของนายทวารชาวเยอรมันในเกมนั้นมันเกินมากพอที่จะทำให้ ลิเวอร์พูล กลับมาไม่ได้ ก่อนจะพ่าย เรอัล มาดริด ไปในที่สุดด้วยสกอร์ 3-1 และนับตั้งแต่วันนั้น คาริอุส ก็หมดอนาคตกับ ลิเวอร์พูล ทันที รวมไปถึงไม่เคยกลับมาเล่นด้วยความมั่นใจได้อีกเลยไม่ว่าจะถูกปล่อยให้ทีมไหนยืมตัวไปใช้งานก็ตาม จนกระทั่งถึงทุกวันนี้...
เกมในวันนั้น ย่อมเป็นตราบาปสำหรับทุกคนที่เกี่ยวกับ ลิเวอร์พูล ไม่ว่าจะเป็นนักเตะหรือแฟนบอล แม้ว่าจะแก้ตัวได้ในปีต่อมา เมื่อหงส์แดงฝ่าด่านไปถึงรอบชิงชนะเลิศได้อีกครั้ง และครั้งนี้พวกเขาทำสำเร็จ เมื่อเอาชนะ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่ในวันนั้นที่ยังมี เมาริซิโอ โปเชตติโน่ เป็นกุนซือไป 2-0 ลบล้างความผิดหวังของตัวเองเมื่อปีก่อนได้สำเร็จ
แต่ถึงอย่างนั้น การแพ้ต่อ เรอัล มาดริด ในรอบชิงชนะเลิศในวันนั้น อาจจะยังติดอยู่ในความรู้สึกของเหล่านักเตะหงส์แดง และเชื่อว่าพวกเขาคงเฝ้ารอที่จะล้างตาให้ได้อีกครั้ง
หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ลิเวอร์พูล โคจรมาเจอกับ เรอัล มาดริด อีกครั้ง แต่เป็นการเจอกันในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ปรากฏว่าทีมราชันชุดขาวที่เวลานั้นยังมี ซีเนดีน ซีดาน เป็นกุนซือ เป็นฝ่ายย้ำแค้นไปอีกรอบ โดยในเลกแรกที่ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว ลิเวอร์พูล บุกไปพ่ายก่อน 1-3 ก่อนที่จะกลับมาเล่นที่แอนฟิลด์ และทำได้เพียงเสมอไป 0-0 ตกรอบไปแบบสู้ไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เรอัล มาดริด เองก็ไปไม่ถึงดวงดาวเช่นกัน เพราะหลังจากล้ม ลิเวอร์พูล ได้ พวกเขาก็เข้าไปเจอกับ เชลซี ในรอบตัดเชือก ก่อนจะเป็นฝ่ายแพ้ต่อ เชลซี ในยุคของ โธมัส ทูเคิ่ล ไป 0-2 พลาดโอกาสเข้าไปชิงชนะเลิศเพื่อลุ้นแชมป์สมัยที่ 14 อย่างน่าเสียดาย
ดังนั้น การกลับมาเจอกันอีกครั้งในปีนี้ระหว่าง ลิเวอร์พูล และ เรอัล มาดริด ต่างก็มีความหมายสำหรับพวกเขาทั้งคู่
โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาอยากจะเจอกับ เรอัล มาดริด ในรอบชิงชนะเลิศ เพราะเคยแพ้มาเมื่อ 4 ปีก่อน พูดง่ายๆ คืออยากจะล้างตาอีกครั้ง (แม้ว่าครั้งนี้ เซร์คิโอ รามอส จะไม่อยู่แล้วก็ตาม) แต่สำหรับ เรอัล มาดริด การผ่านเข้าชิงชนะเลิศนั่นหมายถึงการที่พวกเขากำลังจะได้ลุ้นแชมป์ยุโรปสมัยที่ 14 อย่างที่สกรีนบนเสื้อของพวกเขาในตอนที่เอาชนะ แมนฯ ซิตี้ ในรอบรองชนะเลิศมาได้ว่า "A POR LA 14"
พูดถึงตรงนี้แล้วต้องทำความเข้าใจกันนิดนึงว่า "A POR LA 14" (อ่านว่า อา ปอร์ ลา เดซิม่า กวาร์ต้า) แปลว่า "ไปสู่ลำดับที่ 14" หรือจะพูดสวยๆ ว่า "ก้าวไปสู่แชมป์สมัยที่ 14" ก็ได้ ซึ่งมีหลายคนเข้าใจผิดว่า เรอัล มาดริด ทำเสื้อฉลองแชมป์สมัยที่ 14 แล้ว ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่แบบนั้น แต่มันเป็นธรรมเนียมไปแล้วของทีมราชันชุดขาวที่เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาทะลุมาถึงรอบชิงชนะเลิศของถ้วยบิ๊กเอียร์ วลี A POR LA... จะเกิดขึ้นเสมอ เพราะพวกเขาคือทีมที่ได้แชมป์รายการนี้มากที่สุดแล้ว และยังเป็นจำนวนที่ยากที่มีทีมใดไล่ตามได้ทันในอนาคตอันใกล้
ดังนั้น ใครเป็นผู้ชนะในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ จึงเป็นอะไรที่สำคัญและมีความหมาย สำหรับ ลิเวอร์พูล นี่หมายถึงแชมป์รายการที่ 3 ของพวกเขาในฤดูกาลนี้ และยังเป็นแชมป์ยุโรปสมัยที่ 7 ส่วน เรอัล มาดริด นี่จะเป็นแชมป์สมัยที่ 14 และยังพ่วงด้วยแชมป์ ลา ลีกา ที่ได้ไปก่อนหน้านี้ นั่นจะทำให้พวกเขาได้ดับเบิ้ลแชมป์ และจะเป็นฤดูกาลที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่มากสำหรับพวกเขา
ส่วนในเรื่องผลการแข่งขัน คงเป็นอะไรที่ยากจะคาดเดา เพราะไม่ว่าจะเป็น ลิเวอร์พูล หรือ เรอัล มาดริด ใครก็สามารถเป็นผู้ชนะในเกมนี้ได้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่าวันนั้นใครจะทำได้ดีกว่า หรืออาจจะบอกว่าใครเล่นผิดพลาดน้อยกว่าก็เป็นได้
แต่ถ้ามองลงไปในรายละเอียด ลิเวอร์พูล อาจจะเสียเปรียบเรื่องสภาพร่างกายอยู่บ้าง เพราะการได้ลุ้นแชมป์ถึง 4 รายการในปีนี้ กลายเป็นดาบสองคมสำหรับพวกเขา จะเห็นได้ว่าสภาพความฟิตในช่วงหลายเกมที่ผ่านมา ทีมหงส์แดงดูจะเริ่มเร่งไม่ค่อยขึ้นแล้ว ยิ่งเกมล่าสุดกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน ในเกมนัดปิดฤดูกาลพรีเมียร์ลีกยิ่งเห็นได้ชัด แม้ว่าท้ายที่จะสุดจะกลับมาชนะได้ 3-1 ก็ตาม แต่กว่าจะยิงนำได้ก็เล่นเอาเหนื่อย และมาเกิดขึ้นในช่วงท้ายเกม
ส่วน เรอัล มาดริด พวกเขาได้พักมาแบบสบายๆ หลังจากที่ได้แชมป์ ลา ลีกา ไปครองตั้งแต่นัดที่ 34 นั่นทำให้สภาพร่างกายของนักเตะราชันชุดขาวถือว่าสมบูรณ์ค่อนข้างมาก และนักเตะที่เจ็บไปก่อนหน้านี้อย่าง ดาวิด อลาบา ก็น่าจะฟิตกลับมาเป็นตัวจริงได้แน่ๆ
ขณะที่การวัดกึ๋นระหว่างกุนซือก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะ คาร์โล อันเชลอตติ ถือเป็นกุนซือที่รู้ทาง เจอร์เก้น คล็อปป์ เป็นอย่างดี โดยเคยเจอกันมา 10 ครั้งก่อนหน้านี้ "อันเช่" เป็นฝ่ายชนะ คล็อปป์ ไปได้ 4 ครั้ง เสมอ 3 ส่วนกุนซือหงส์แดงเป็นฝ่ายเอาชนะได้ 3 ครั้ง
จากสถิติดังกล่าว เชื่อว่านี่จะเป็นการดวลกันของสองยอดทีมที่น่าจะสูสีกันมากแน่ๆ และมีโอกาสเหมือนกันที่อาจจะตัดสินกันในช่วงเวลา 90 นาทีไม่ได้ แต่อาจต้องยืดเยื้อไปจนถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ หรือกระทั่งการยิงจุดโทษตัดสิน
แต่กระนั้น ไม่ว่าใครจะเป็นแชมป์ในบั้นปลาย ก็คงจะเป็นแชมป์ที่สมศักดิ์ศรี และเป็นหมุดหมายที่สำคัญสำหรับทั้งสองทีม เพราะอย่างที่บอกไปว่าสำหรับ ลิเวอร์พูล นี่คือแชมป์ยุโรปสมัยที่ 7 ส่วน เรอัล มาดริด นี่คือ "La Decima Cuarta" ของพวกเขา...
สำหรับการถ่ายทอดสดเกมคู่นี้ในช่วงกลางดึกคืนวันเสาร์ที่ 28 พ.ค. เวลา 02.00 น. สามารถติดตามได้ที่ทรูวิชั่นส์ที่เดียวเท่านั้น ผ่านทางช่อง beIN Sports 1 ช่อง 607
ภาพจาก Getty Images
อัปเดตข่าวล่าสุดก่อนใคร :
Website : www.truevisions.co.th
Facebook : Truevisions
Twitter : @TrueVisions
Line : @Truevisions
Youtube official : Truevisionsofficial
Instagram : Truevisionsofficial