ฟิตซ์แพทริค เฉือน ซาลาทอริส คว้าเมเจอร์แรกในอาชีพ

ฟิตซ์แพทริค เฉือน ซาลาทอริส คว้าเมเจอร์แรกในอาชีพ
“ฟิตซ์ แพทริค” เฉือน “ซาลาทอริส” สโตรคเดียว คว้าแชมป์ “ยูเอส โอเพ่น” เมเจอร์แรกในอาชีพ




แม็ตต์ ฟิตซ์แพทริค โปรชาวอังกฤษคว้าแชมป์เมเจอร์ ยูเอส โอเพ่น มาครองเมื่อช่วงเช้า 20 มิ.ย. ที่ผ่านมา ตามเวลาประเทศไทย เป็นแชมป์เมเจอร์แรกในอาชีพ หลังจากทำสกอร์ขึ้นนำในวันก่อนหน้า เฉือนกับ วิลล์ ซาลาทอริส ผู้นำร่วมที่ออกรอบด้วยกัน 


รอบสุดท้ายที่ คันทรี คลับ แอท บรู๊คไลน์ ฟิตซ์แพทริค วัย 27 ปี ออกสตาร์ทนำร่วมกับ วิลล์ ซาลาทอริส โปรหนุ่มวัย 25 ปี จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งกำลังไล่ล่าหาแชมป์เมเจอร์ครั้งแรกในอาชีพ โดยที่ ฟิตซ์แพทริค ทำเบอร์ดี้ที่หลุม 3 และ หลุม 5 แม้ว่าจะพลาดเสียโบกี้ที่หลุม 6 แต่ก็สามารถทำเบอร์ดี้ได้ที่หลุม 8 จากนั้นไปพลาดเสียโบกี้ที่หลุม 10 และ 11 ก่อนจะกลับมาทำเบอร์ดี้ในหลุม 13 พาร์ 4 และ หลุม 15 พาร์ 4 ซึ่งหลุมนี้ ฟิตซ์แพทริก ตีด้วยเหล็ก 5 ระยะ 220 หลา จากรัฟทางขวาเข้าไปออนเพื่อพัตต์เบอร์ดี้ระยะ 19 ฟุต และพัตต์ไม่พลาดขณะนั้นเขานำอยู่สองสโรคเมื่อเหลืออีกสามหลุมสุดท้าย


ซาลาทอริส เริ่มต้นไม่ดีเสียโบกี้ที่หลุม 2 และ 3 ก่อนจะกลับมาทำเบอร์ดี้ได้ที่หลุม 6,7,9 และ 11 จากนั้นเสียโบกี้ที่หลุม 12 และ 15 แล้วไปทำเบอร์ดี้ที่หลุม 16 พาร์ 3 ทำให้เข้าสู่สองหลุมสุดท้ายตามหลัง ฟิตซ์แพทริก ผู้นำอยู่สโตรกเดียวยังมีลุ้น


ฟิตซ์แพทริค ทำพาร์จากหลุม 16 และ 17 โดน ซาลาทอริส จี้ติดแต้มเดียวเมื่อเข้าสู่หลุม 18 พาร์ 4 ซึ่งหลุมนี้ ฟิตซ์แพทริก เสียโบกี้ในรอบสาม แต่ครั้งนี้เขาตีช็อตสองจากแฟร์เวย์บังเกอร์ด้านซ้ายไปออนกรีนเหลือระยะพัตต์เบอร์ดี้ระยะ 19 ฟุต แม้ว่าหลุดซ้ายแต่ก็เก็บพาร์ทำสกอร์ 2 อันเดอร์พาร์ 68 สกอร์รวม 6 อันเดอร์พาร์ 274 และ ซาลาทอริส มีโอกาสพัตต์เบอร์ดี้ เพื่อเสมอไปเล่นเพลย์ออฟสโตรคเพลย์ 2 หลุม แต่โปรหนุ่มชาวอเมริกันพัตต์ระยะ 15 ฟุต หลุดปากหลุมออกซ้าย ทำสกอร์ 1 อันเดอร์พาร์ 69 



สกอร์รวมของ ซาลาทอริส 5 อันเดอร์พาร์ 275 พลาดแชมป์ไปอย่างน่าเสียดาย เท่ากันกับ สกอตตี เชฟเฟลอร์ โปรมือ 1 ของโลก แชมป์เดอะ มาสเตอร์ส ซึ่งทำ 3 อันเดอร์พาร์ 67 ในวันสุดท้าย


ฟิตซ์แพทริค คว้าแชมป์ยูเอส โอเพ่น ครั้งนี้นับเป็นแชมป์เมเจอร์แรกในการเล่นอาชีพพร้อมกับรับเงินรางวัลไป 3.15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 110.1 ล้านบาท) นอกจากนี้ยังสร้างสถิติเป็นนักกอล์ฟคนที่สองในประวัติศาสตร์ที่คว้าแชมป์ในสนามเดียวกัน ในรายการ ยูเอส โอเพ่น และยูเอส อเมเจอร์ (คว้าแชมป์ที่เดอะ คันทรี คลับ เมื่อปี 2013) ต่อจาก แจค นิคลอส ที่เคยทำไว้ที่สนามเพบเบิล บีช กอล์ฟ ลิงค์ส เมื่อปี 1961 และ 1972 และกลายเป็นนักกอล์ฟคนที่ 13 ที่คว้าแชมป์ทั้งสองรายการใหญ่ของยูเอสจีเอ และเป็นนักกอล์ฟต่างชาติที่ไม่ใช่อเมริกันคนแรกที่ทำได้อีกด้วย


โปรจากเมืองเชฟฟิลด์ แคว้นยอร์คเชอร์ เผยหลังการคว้าแชมป์เมเจอร์ครั้งแรกในชีวิตว่า "ผมรักที่จะเล่นที่สนามแห่งนี้ เพราะมันเหมาะกับเกมของผมและเล่นได้ดี และจุดเปลี่ยนจริงๆ อยู่ที่หลุม 15 ที่สามารถทำเบอร์ดี้ได้ ผมคิดว่ามันเป็นหนึ่งในช็อตที่ดีที่สุด ที่ทำให้ผมได้เปรียบก่อนจะมาคว้าแชมป์"


ซาลาทอริส เจ้าของอันดับที่สองร่วม กล่าวชื่นชม ฟิตซ์แพทริค ว่า "ต้องยกให้ แม็ตต์ เลยที่เขาเล่นในหลุม 18 เป็นการเล่นที่ยอดเยี่ยม ช็อตหนึ่งในประวัติศาสตร์ยูเอส โอเพ่น ผมเดินไปดูไลน์กรีน และคิดว่ามีโอกาส แต่เขาก็ไม่พลาด ผมต้องยกย่องฟิตซ์แพทริก ว่าเขาเล่นดีตลอดสัปดาห์นี้"


ฟิตซ์แพทริค จะได้ครองถ้วยแชมป์เป็นเวลาหนึ่งปี พร้อมกับได้เหรียญเกียรติยศ แจค นิคลอส และได้สิทธิ์เข้าร่วมแข่งขันยูเอส โอเพ่น 10 ปี ได้รับสิทธิ์ร่วมแข่งขันอีก 3 เมเจอร์ เดอะ มาสเตอร์ส, พีจีเอ แชมเปียนชิพ และ ดิ โอเพ่น เป็นเวลา 5 ปี


ฮิเดกิ มัตซึยามะ โปรหนุ่มจากญี่ปุ่นแชมป์เดอะ มาสเตอร์ส ปี 2021 เรียกฟอร์มกลับมาได้ในรอบสุดท้าย ทำผลงาน 5 อันเดอร์พาร์ 65 โดยไม่เสียโบกี้เลย กลายป็นนักกอล์ฟคนแรกที่ไม่เสียโบกี้ในรอบสุดท้ายของการแข่งขัน ยูเอส โอเพ่น นับตั้งแต่ อดัม สกอตต์ จากออสเตรเลียทำไว้ในการแข่งขัน แชมเบอร์ส เบย์ เมื่อปี 2015 จบรอบสุดท้ายมัตซึยามะ ทำสกอร์รวม 3 อันเดอร์พาร์ 277 จบลงอันดับ 4 นับเป็นผลงานดีที่สุดของนักกอล์ฟเอเชีย


คอลลิน โมริคาวะ โปรชาวอเมริกัน แชมป์เมเจอร์สองรายการ ผู้นำร่วมหลังวันที่สอง ทำสกอร์ 4 อันเดอร์พาร์ 66 สกอร์รวม 2 อันเดอร์พาร์ 278 จบอันดับ 5 ร่วม เช่นเดียวกับ รอรี แมคอิลรอย โปรจากไอร์แลนด์เหนือแชมป์ปี 2011 ซึ่งทำผลงานเพิ่มรอบสุดท้าย 1 อันเดอร์พาร์ 69 


จอน ราห์ม โปรหนุ่มชาวสเปนแชมป์เมื่อปีที่แล้ว พลาดตีเกิน 4 โอเวอร์พาร์ 74 จบลงอันดับ 12 ร่วมสกอร์รวม 1 โอเวอร์พาร์ 281


นักกอล์ฟที่ผ่านการเล่นรอบคัดเลือกเข้ามาทั้ง 3 คน เดนนี แมคคาร์ธี จากสหรัฐอเมริกา จบลงที่อันดับ 7 ร่วม, อดัม แฮดวิน จากแคนาดา อันดับ 7 ร่วม และ โจเอล ดาห์เน จากสหรัฐอเมริกา อันดับ 10 ร่วม ซึ่งทั้ง 3 คนจบลงใน 10 อันดับแรก ได้สิทธิ์กลับไปร่วมแข่งขันยูเอส โอเพ่น ปีหน้าที่ลอสแอนเจลิส


รางวัลนักกอล์ฟสมัครเล่นดีที่สุด (low amateur) เป็นของ เทรวิส วิค จากสหรัฐอเมริกา ทำสกอร์รวม 8 โอเวอร์พาร์ 288 (70-69-76-73) จบลงอันดับ 43 ร่วม

ภาพประชาสัมพันธ์

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อัปเดตข่าวล่าสุดก่อนใคร :

Website : www.truevisions.co.th

Facebook : Truevisions

Twitter : @TrueVisions

Line : @Truevisions

Youtube official : Truevisionsofficial

Instagram : Truevisionsofficial