ไซนซ์ คว้าแชมป์แรก แฮมิลตัน 13 โพเดียมในบ้าน

ไซนซ์ คว้าแชมป์แรก แฮมิลตัน 13 โพเดียมในบ้าน
“บริติช กรังด์ปรีซ์” สุดโกลาหล “ไซนซ์” คว้าแชมป์แรกในอาชีพสำเร็จ “เปเรซ” ซิวนักขับประจำวัน “แฮมิลตัน” ขึ้นโพเดียมครั้งที่ 13 ในบ้านเกิด




บริติช กรังด์ปรีซ์ รอบสุดท้ายเมื่อ 3 ก.ค. ที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดและการชิงตำแหน่งแบบสุดสนุก คาร์ลอส ไซนซ์ ทีมเฟอร์รารี่ คว้าแชมป์สนามแรกในอาชีพ ตามด้วย เซอร์จิโอ เปเรซ นักขับ เร้ดบูลล์ ที่คว้าตำแหน่งนักขับยอดเยี่ยมประจำวัน และ ลูอิส แฮมิลตัน ที่ฮึดสู้เพื่อขึ้นโพเดียมในบ้านพร้อมกับทำรอบเร็วที่สุด (Fastest Lap) ได้เพิ่ม 1 คะแนน


การแข่งขันเริ่มต้นด้วยความโกลาหลทันทีที่ออกสตาร์ทในรอบแรกเมื่อ นิโคลัส ลาติฟี อันดับ 10 ในรอบโพลจากทีม วิลเลี่ยมส์ แซงผ่านช่องว่างระหว่าง โจว กวนยู และ จอร์จ รัสเซลล์ จากนั้น ปิแอร์ แกสลี่ย์ ก็พยายามจะทำเช่นเดียวกันแต่ไม่สำเร็จ รัสเซลล์ พยายามปิดช่องว่างระหว่างเร่งความเร็ว และเฉี่ยวกับรถของ โจว ซึ่งหมุนคว่ำออกนอกสนามไปไกลหลายเมตร และชนเข้ากับที่กั้นก่อนไปถึงแสตนด์ข้างสนาม 


วัลเตรี่ บ็อตตาส เห็นเหตุการณ์ข้างหน้าจึงชลอความเร็ว เช่นเดียวกับ อเล็กซ์ อัลบอน นักขับไทยที่ตามมาข้างหลัง แต่ เซบาสเตียน เว็ทเทล ที่ตามมาเบรกไม่ทัน ชนท้าย จนรถของ อัลบอน กระแทกที่กั้น หมุนออกนอกสนามในจังหวะต่อเนื่อง 


ผู้อำนวยการเรซปล่อยสัญญาณธงแดง การแข่งขันหยุดลงชั่วคราว อัลฟ่า โรเมโอ แจ้งว่านักขับชาวจีนออกจากรถได้และกำลังตรวจอาการโดยแพทย์ เบื้องต้นไม่มีอาการผิดปกติ เช่นเดียวกับ อเล็กซ์ ที่รถเสียหายหนัก และอยู่ในความดูแลของแพทย์ ทั้งสองปลอดภัย รัสเซลล์ ไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่รถเสียหายเกินกว่าจะขับต่อไปได้ แม้พยายามเจรจากับเจ้าหน้าที่แล้ว แต่ไม่ได้รับอนุญาต ขณะที่ฝ่ายควบคุมสนามของสหพันธ์ยานยนตร์นานาชาติดูแลแทร็คให้กลับสู่สภาพปกติและซ่อมแซมที่กั้นที่เสียหาย กินเวลานานเกือบเต็มชั่วโมง


แม้ในช่วงเริ่มต้น แม็กซ์ เวอร์สเตปเปน แซงหน้า คาร์ลอส ไซนซ์ เจ้าของโพลอันดับแรก แต่ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทำให้มีการสั่งเรียงลำดับก่อนเริ่มแข่งต่อ ไซน์ ยังอยู่หัวแถว และเมื่อปล่อยสัญญาณไฟ รถทั้ง 4 คันจาก 2 ทีมรวม ชาร์ลส์ เลอแกลร์ และ เซอร์จิโอ เปเรซ ก็พยายามชิงตำแหน่งกัน โดย ไซนซ์ นำอยู่ข้างหน้าตามด้วย เวอร์สเปเปน เลอแกลร์ และ เปเรซ 


รอบที่ 22 รถของ อัลฟ่า โรเมโอ อีกคัน วัลเตรี่ บ็อตตาส ออกจากการแข่งขัน เป็นไปได้ว่าอาจมีอะไหล่บางชิ้นเสียหาย จากนั้นไม่นาน เลอแกลร์ พยายามขึ้นแซงทางตรง และมีบางอย่างผิดปกติทำให้ เวอร์สเตปเปน ต้องรีบเลี้ยวเข้าพิต และมีควันออกมาจากล้อหลัง เมื่อเปลี่ยนล้อออกมาจากพิตก็ยังทำความเร็วไม่ได้ตามที่ต้องการและร่วงลงไปเป็นอันดับ 8 


ตำแหน่งผู้นำเปลี่ยนมือเป็น ลูอิส แฮมิลตัน ในเวลาต่อมา เฟอร์รารี่ ทั้งสองคันตามไล่หลัง แต่ก็มีคำสั่งจากวิทยุเกี่ยวกับการสลับตำแหน่ง ให้ เลอแกลร์ ขึ้นมานำหน้า แต่ ไซนซ์ ก็ต้องรักษาความเร็ว หลังจากนั้นไม่นาน แม้นำหน้าเกือบ 20 วินาทีแต่ แฮมิลตัน เข้าพิตไปและกลับออกมาตามหลัง เฟอร์รารี่ 


รอบที่ 37 เอสเตบัน โอคอน ทีม อัลพีน จอดรถนิ่งอยู่บนแทร็คทำให้ฝ่ายควบคุมต้องส่งสัญญาณธงเหลือง ไซนซ์ ใช้โอกาสนี้เปลี่ยนยาง และมียางแบบซอฟต์ที่สดใหม่กว่า เมื่อจบรอบของเซฟตี้คาร์ นักขับชาวสเปนไล่กดเพื่อนร่วมทีมและกลับมาขึ้นนำอีกครั้ง และทำเร่งความเร็วทิ้งกลุ่มที่ตามอยู่ข้างหลังไปทีละน้อย


ผ่านรอบที่ 45 เลอแกลร์ และ เปเรซ พยายามชิงตำแหน่งกัน ตอนนั้นเอง แฮมิลตัน ก็ฉวยโอกาสขึ้นมาเป็นอันดับ 2 แต่ไม่นานนักทั้งสามคันก็เบียดชิงจังหวะกันอีก เมื่อเหลืออีกเพียง 5 รอบ เปเรซ ขึ้นมาในอันดับ 2 ตามด้วย เลอแกลร์ และ แฮมิลตัน ซึ่งตกลงไป แต่ก็เพียงครู่เดียว เพราะแชมป์โลก 7 สมัยเร่งเครื่องกลับมาในตำแหน่งสุดท้ายของโพเดียมพร้อมกับเสียงผู้ชมดังกระหึ่ม เป็นการขึ้นโพเดียมในบ้านครั้งที่ 13 


เวอร์สเตปเปน จบด้วยอันดับ 7 เฉือน มิค ชูมัคเกอร์ จากทีมฮาส ซึ่งคว้าแต้มแรกของฤดูกาลได้สำเร็จ ทำให้เหลือเพียง นิโคลัส ลาติฟี เพียงคนเดียวที่ยังไม่มีแต้ม (ไม่นับ นิโก้ ฮูลเคนเบิร์ก ที่มาแทน เซบาสเตียน เว็ทเทล 2 สนาม) โดยก่อนจบการแข่งขันมีรายงานว่าทั้ง โจว และ อัลบอน อยู่ในความดูแลของแพทย์ โดยช่วงท้ายหลังจบการแข่งขันมีภาพให้ผู้ชมเห็นว่าปลอดภัย


ฟอร์มูล่า วัน สนามถัดไป ออสเตรียน กรังด์ปรีซ์ วันที่ 8-10 ก.ค. นี้ สามารถรับชมได้ตั้งแต่รอบซ้อมทางช่อง ทรูสปอร์ต 1 (666) เช่นเคย 

F1DRIVE

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อัปเดตข่าวล่าสุดก่อนใคร :

Website : www.truevisions.co.th

Facebook : Truevisions

Twitter : @TrueVisions

Line : @Truevisions

Youtube official : Truevisionsofficial

Instagram : Truevisionsofficial