ประเด็นดราม่าที่ได้รับความสนใจจากแฟนกอล์ฟทั่วโลก คือเรื่องที่ R&A (The Royal and Ancient Golf of Saint Anderws) สมาคมกอล์ฟที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ไม่ส่งคำเชิญไปยัง เครก นอร์แมน นักกอล์ฟในตำนาน เข้าร่วมงานแถลงข่าวเปิดการแข่งขัน ดิ โอเพน ครั้งที่ 150
เครก นอร์แมน นักกอล์ฟในตำนานเจ้าของแชมป์ ดิ โอเพน 2 สมัย (เป็นรองแชมป์รายการระดับเมเจอร์อีก 8 ครั้ง) ที่ปัจจุบันงัดข้อกับวงการกอล์ฟด้วยการไปทำหน้าที่เป็นซีอีโอของลิฟ กอล์ฟ รายการแข่งขันที่ได้รับเงินสนับสนุนจากซาอุดีอาระเบีย เป็นจำนวน 2,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นตัวเลขมหาศาลที่ทำให้นักกอล์ฟดังๆหลายคนยากที่จะปฏิเสธการเข้าร่วมแข่งขัน
โดยซีรี่ย์ดังกล่าวจะมีแข่งขัน 8 รายการต่อปี เงินรางวัลล่อใจรายการละ 25 ล้านดอลลาร์ มากที่สุดของวงการกอล์ฟโลก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการจัดแข่งขันที่ทับซ้อนกับ พีจีเอ ทัวร์ และได้รับเสียงต่อต้านอย่างมาก ในขณะเดียวกันหากนักกอล์ฟคนไหนเข้าร่วมรายการดังกล่าวก็จะถูก พีจีเอ ทัวร์ ออกบทลงโทษ
อย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้ว ลิฟ กอล์ฟ จากที่ตอนแรกคนมองว่าไม่น่าไปรอดกลับได้รับการตอบรับจากโปรกอล์ฟชื่อดังมากมายเข้าร่วมแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็น ฟิล มิคเคลสัน, ดัสติน จอห์นสัน, ไบรสัน ดีแชมโบ, แพทริค รีด และ ชาร์ล ชวาร์ทเซล ที่เป็นแชมป์คนแรกของรายการนี้
ซึ่งการแข่งขันรายการล่าสุดของ ลิฟ กอล์ฟ เพิ่งจะผ่านพ้นไปเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา ก่อนหน้าศึกใหญ่อย่าง ดิ โอเพน ครั้งที่ 150 จะเปิดฉากขึ้นไม่ถึง 2 สัปดาห์
โดย R&A (The Royal and Ancient Golf of Saint Anderws) ไม่ได้ส่งคำเชิญไปยัง เครก นอร์แมน ในการเข้าร่วมงานแถลงข่าวและนิทรรศการสี่หลุมของแชมป์เปี้ยนในวันจันทร์ที่ผ่านมานและร่วมทานอาหารค่ำ เมื่อคืนวันอังคาร โดยหลายฝ่ายเชื่อกันว่าเป็น R&A ไม่ต้องการให้ ลิฟ กอล์ฟ มาแย่งซีนการแข่งขัน ดิ โอเพน
เครก นอร์แมน ยินดีกับแชมป์ LIV Golf
ทางด้าน มาร์ติน สลัมเบอร์ส ซีอีโอของ R&A ออกมาชี้แจงประเด็นนี้พร้อมอธิบายว่าอันที่จริง เครก นอร์แมน ก็ไม่ได้มาร่วมงานที่นี่ตั้งแต่ปี 2010 รวมถึงปี 2015 รวมถึงอีกหลายๆปี แม้ว่าเจ้าตัวจะเคยมาร่วมงาน ดิ โอเพน ก็ตาม
"รายการแข่งขันกอล์ฟที่มีอยู่ก่อนแล้วถือว่าประสบความสำเร็จและเป็นการจัดแข่งขันที่เป็นความมั่นคงของนักกอล์ฟ รวมถึงการพัฒนาวงการกอล์ฟให้มีศักยภาพสูงสุด"
"แน่นอนว่านักกอล์ฟมืออาชีพมีสิทธิ์เลือกสถานที่จะลงแข่งขันของตัวเองรวมถึงเงินรางวัลที่แต่ละที่เสนอให้กับพวกเขา ผมไม่มีปัญหาอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย"
"แต่ทุกอย่างไม่มีอะไรที่จะได้มาฟรีๆ ดูอย่างสองรายการของ ลิฟ กอล์ฟ ที่ผ่านพ้นไป ผมยังไม่เห็นประโยชน์อะไรเลยในระยะยาวที่จะส่งผลดีกับวงการกีฬา แต่มันขับเคลื่อนการแข่งขันด้วยเงินเพียงอย่างเดียวเท่านั้น มันจะเป็นบ่อนทำลายวัฒนธรรมที่ยึดหลักคุณธรรม รวมถึงจิตวิญญาณของการแข่งขันที่ส่งต่อกันมา ทำให้กอล์ฟเป็นกีฬาที่วิเศษ"
"เราเชื่อเสมอว่าการแข่งขันจะต้องเน้นไปที่การมีส่วนร่วมและเปิดกว้างสำหรับนักกอล์ฟทุกคน มากกว่าการแข่งขันที่มีเพียงกลุ่มคนไม่กี่กลุ่ม"
โดยทาง R&A ยังยืนยันว่าจะไม่ตัดสิทธิ์การแข่งขัน ดิ โอเพน ของนักกอล์ฟดังที่ไปเข้าร่วม ลิฟ กอล์ฟ ซึ่งก็สอดคล้องกับ การแข่งขันยูเอสโอเพ่น โดยนักกอล์ฟเหล่านั้นประกอบไปด้วย ฟิล มิคเคลสัน, ดัสติน จอห์นสัน, บรูคส์ โคเบกา, ไบรสัน เดชัมโบ, หลุยส์ อูสตัวเซน รวมถึง เซร์คิโอ การ์เซีย
ในขณะที่ พีจีเอ ทัวร์ ได้ตัดสินใจที่จะระงับการเป็นสมาชิกกับบรรดานักกอล์ฟที่ไปเข้าร่วมแข่งขันรายการ ลิฟ กอล์ฟ รวมถึง DP World Tour ในยุโรป ได้สั่งปรับเงิน 100,000 ปอนด์ และสั่งห้ามเข้าร่วมแข่งขันในรายการ Scottish Open เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
โดย มาร์ติน สลัมเบอร์ส ซีอีโอของ R&A กล่าวต่อว่า "การแบนผู้เล่นไม่ได้อยู่ในระเบียบวาระในการประชุม แต่ทาง R&A จะมีการทบทวนเกณฑ์การยกเว้นและคุณสมบัติต่างๆตามจริงว่าใครจะสามารถเข้าร่วมหรือไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขัน"
ในกรณีของผู้ที่คว้าแชมป์ Masters, US Open และ US PGA Championship จะได้รับการยกเว้นให้สามารถเข้าร่วมแข่งขัน ดิ โอเพน เป็นเวลา 5 ปี อย่างเช่น ไบรสัน เดชัมโบ ที่เป็นแชมป์ US Open ปี 2020 จะมีสิทธิ์ลงแข่งขัน ดิ โอเพน ได้จนถึงปี 2025
ศึกกอล์ฟ ดิโอเพน ครั้งที่ 150
แต่บรรดาผู้เล่นที่อาศัยการเข้าร่วมแข่งขันจากอันดับโลกจะโดนตัดสิทธิ์เข้าร่วม เนื่องจากการแข่งขันรายการลิฟ กอล์ฟ จะไม่ได้คะแนนสะสมอันดับโลกอย่างเป็นทางการ(OWGR)
ซึ่งล่าสุดทาง OWGR ได้ยืนยันเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า ลิฟ กอล์ฟ ได้ส่งใบสมัครเพื่อขอเข้าร่วมในการจัดอันดับโลก ซึ่งทาง OWGR ได้แถลงการณ์ว่าเวลานี้กำลังอยู่ในการตรวจสอบ และกระบวนการต้องใช้เวลานานหลายเดือน
โดยในรายงานระบุว่า ลิฟ กอล์ฟ ที่จัดขึ้นโดยกองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะของซาอุดีอาระเบีย ที่มอบเงินรางวัลเบื้องต้นจำนวน 250 ล้านดอลลาร์ ในปีนี้ พร้อมกับให้คำมั่นสัญญาว่าจะเพิ่มเงินอีก 2,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อเปลี่ยนการแข่งขันและรูปแบบการเชิญให้กลายเป็นลีกที่เต็มรูปแบบ
โดยในแต่ละอีเวนต์ จะมีทั้งหมด 54 หลุม และมีนักกอล์ฟเข้าแข่งขัน 48 คน พร้อมกับเงินรางวัล 25 ล้านดอลลาร์ ส่วนคนที่ผ่านการตัดตัวจะได้รับถึง 120,000 ดอลลาร์
ในทางตรงกันข้าม เงินรางวัลรวมของการแข่งขัน ดิ โอเพน ครั้งนี้อยู่ที่ 11.2 ล้านปอนด์ เพิ่มขึ้น 22% จากปีที่แล้ว โดยผู้ชนะจะได้รับเงิน 2 ล้านปอนด์
เมื่อทาง R&A ถูกสอบถามถึงโอกาสที่นักกอล์ฟทั้ง 24 คน ที่ลงแข่งขัน ลิฟ กอล์ฟ แล้วได้สิทธิ์เล่นใน ดิ โอเพ่น จะก้าวไปถึงการคว้าแชมป์ ในครั้งนี้ ทาง มาร์ติน สลัมเบอร์ส กล่าวว่า
"ใครก็ตามที่คว้าแชมป์ ดิ โอเพน จะมีชื่อจารึกในหน้าประวัติศาสตร์ และผมก็พร้อมที่จะยินดีกับเขา นี่คือการแข่งขัน ดิ โอเพน เป็นการแข่งขันของบรรดาผู้เล่นที่ดีที่สุดในโลก และผมก็เฝ้ารอที่จะเห็นผู้ที่ทำคะแนนต่ำที่สุดในค่ำคืนวันอาทิตย์นี้"
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในโลกปัจจุบัน ทุกวงการและทุกชนิดกีฬา ธุรกิจ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนอย่างแท้จริง หากไม่มีเงินก็ยากที่จะประสบความสำเร็จหรือดึงดูดนักกีฬาระดับโลกให้เข้าร่วมการแข่งขัน แต่ในขณะเดียวกันเรื่องของประวัติศาสตร์ ความสำเร็จในรายการระดับตำนานก็ถือเป็นสิ่งสำคัญที่เป็นจุดเริ่มต้นของนักกีฬาทุกคนในการเลือกเดินเส้นทางนี้
เพราะถ้าย้อนกลับไปในวันแรกที่โปรแต่ละคนเลือกที่จะหัดจับไม้กอล์ฟ พวกเขาต่างก็เห็นภาพไอดอลของตัวเองที่ก้าวไปประสบความสำเร็จในเวทีระดับตำนานมาทั้งสิ้น มันคงจะดีไม่น้อยหากว่าสุดท้ายแล้ว ทั้งเรื่องประวัติศาสตร์ ความเป็นตำนาน จะขับเคลื่อนไปด้วยกันกับเงินรายได้ที่จะมาอัปเกรดคุณภาพชีวืตใหมั่นคงในโลกปัจจุบัน
ในฐานะแฟนกีฬาก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทสรุปสุดท้ายแล้ว วงการกอล์ฟจะหาจุดลงตัวให้ได้โดยเร็ว เพราะหากปล่อยไว้ให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมลดช่องว่างของตัวเองเพื่อพูดคุยกัน สุดท้ายก็มีแต่จะทำลายวงการกอล์ฟที่พวกเขาบอกว่ารักกีฬาชนิดนี้...
Getty images
อัปเดตข่าวล่าสุดก่อนใคร :
Website : www.truevisions.co.th
Facebook : Truevisions
Twitter : @TrueVisions
Line : @Truevisions
Youtube official : Truevisionsofficial
Instagram : Truevisionsofficial