อีกไม่ถึง 10 วัน ศึกคอมมูนิตี้ ชิลด์ 2022 ก็จะระเบิดขึ้นแล้ว โดยในปีนี้จะเป็นการปะทะกันระหว่าง ลิเวอร์พูล ทีมแชมป์เอฟเอ คัพ พบกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลล่าสุด ในวันที่ 30 กรกฎาคมนี้
ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ฟุตบอลชิงโล่การกุศลเริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่ ย่อมถือเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าฤดูกาลใหม่ของศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ กำลังจะรูดม่านเปิดฉากแล้วด้วยเช่นกัน ซึ่งตามปกติแล้วก็จะเริ่มในอีกหนึ่งสัปดาห์ให้หลัง โดยในฤดูกาล 2022-23 เกมแรกก็เป็นเกม Friday Night เลยในวันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม ระหว่าง คริสตัล พาเลซ พบ อาร์เซน่อล ช่วงตีสองต่อเช้าวันเสาร์
ดังนั้น เมื่อ คอมมูนิตี้ ชิลด์ มาถึง ก็ถือว่าเป็นเสมือนเสียงระฆังเตือนให้รู้ว่าเกมฟุตบอลอังกฤษที่หลายคนโปรดปรานกำลังจะกลับมาอีกครั้งแล้ว
แถมยังเป็นการพบกันระหว่าง ลิเวอร์พูล และ แมนฯ ซิตี้ อีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่านี่คือสองตัวเต็งที่มีโอกาสจะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลที่กำลังจะมาถึงมากที่สุด และคงไม่ต้องมาเสียเวลาอธิบายกันว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น เพราะผลงานของทั้งสองทีมในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็บ่งบอกในตัวมันเองอยู่แล้ว
ที่สำคัญ ปีนี้ทั้งสองทีมยังมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในส่วนของ Squad เหมือนกันด้วย เพราะมีผู้เล่นกำลังสำคัญของทีมย้ายออก และมีการซื้อตัวผู้เล่นหน้าใหม่ที่น่าสนใจเข้ามาเสริมทัพเหมือนกันทั้งคู่
สำหรับไฮไลท์ของ ลิเวอร์พูล ย่อมเป็น ดาร์วิน นูนเญซ กองหน้าทีมชาติอุรุกวัยที่ดึงมาจาก เบนฟิก้า ด้วยค่าตัวมหาศาล 100 ล้านยูโร (รวมโบนัส) ส่วนทางฝั่งทีมเรือใบสีฟ้า ย่อมหนีไม่พ้น เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ยอดกองหน้านอร์วีเจี้ยนที่ดึงมาจาก โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ด้วยค่าฉีกสัญญาเพียง 60 ล้านยูโร
ในส่วนของค่าตัวอาจจะมีความแตกต่างกันอยู่พอประมาณ แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่างที่ไม่เหมือนกันทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องจ่ายแพงกว่าทางฝั่ง แมนฯ ซิตี้ แต่ถึงกระนั้นนักเตะทั้งสองรายนี้ ต่างถูกมองว่าเป็นการเสริมทัพที่ดีมากของทั้งคู่
เพียงแต่ นูนเญซ อาจจะเพิ่งโด่งดังจริงๆ ก็ในฤดูกาลที่ผ่านมากับ เบนฟิก้า ส่วน ฮาแลนด์ นั้นสร้างชื่อมาก่อนสักพักแล้ว และผลงานการถล่มประตูของเจ้าตัวก็ยอดเยี่ยม ชนิดที่ไม่น่ามีใครทำได้ขนาดนี้มาก่อน เมื่อมองจากอายุที่เพิ่งจะครบ 21 ปีไปหมาดๆ
สถิติของ ฮาแลนด์ กับ ดอร์ทมุนด์ นั้นน่ากลัวมากๆ เมื่อยิงไป 86 ประตูจากการลงสนาม 89 เกมรวมทุกรายการ ในการเล่นระยะเวลา 2 ฤดูกาลครึ่งของเจ้าตัว นับตั้งแต่ย้ายมาจาก ซัลซ์บวร์ก เมื่อเดือนมกราคม 2020
ด้วยตัวเลขสถิติแบบนี้ ทำให้หลายฝ่ายมองว่านี่คือการเสริมทัพครั้งสำคัญของ แมนฯ ซิตี้ และ ฮาแลนด์ จะยิ่งทำให้ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า น่ากลัวมากขึ้นไปอีก จากเดิมที่ก็ทำได้สุดยอดมากอยู่แล้ว เพราะขนาดปีที่ผ่านมาไม่มีกองหน้าตัวเป้าอาชีพ ทีมยังช่วยกันยิงไปเกือบ 100 ลูกในเกมลีก 38 นัด และถ้าหากมี ฮาแลนด์ มายืนเป็นกองหน้า จะยิ่งโหดมากขนาดไหน
เท่านั้นยังไม่พอ แมนฯ ซิตี้ ยังได้ คาลวิน ฟิลลิปส์ กองกลางทีมชาติอังกฤษมาจาก ลีดส์ ยูไนเต็ด อีกด้วย ซึ่งก็ถือเป็นการเสริมทีมที่ตรงจุดมากๆ เช่นกัน หลังจากที่ แฟร์นันดินโญ่ อำลาทีมไปพอดี เรียกได้ว่า ฟิลลิปส์ เข้ามาเป็นตัวแทนได้แบบเนียนกริบไร้รอยต่อ
แม้ว่าทีมต้องเสียนักเตะในทีมชุดใหญ่ออกไป 3 ราย ได้แก่ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ที่ย้ายไป เชลซี, กาเบรียล เชซุส และ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ ที่ย้ายไป อาร์เซน่อล แต่ถึงกระนั้นก็อาจจะไม่ได้มีผลกระทบอะไรต่อทีมมากนัก เพราะตัวที่เหลืออยู่นั้นทดแทนกันได้อย่างสบาย เพราะขนาดทีมแต่เดิมของ ซิตี้ ก็มีผู้เล่นฝีเท้าดีอยู่เต็มทีมอยู่แล้ว
ดังนั้น ความน่าสนใจในเกมนี้สำหรับฝั่ง ซิตี้ คือการจะได้ดูฟอร์มของ ฮาแลนด์ เต็มๆ ว่าเมื่อเข้ามายืนเป็นกองหน้าตัวเป้าให้กับ ซิตี้ แล้ว จะใช้เวลาปรับตัวนานแค่ไหน และจะทำผลงานได้ดีตั้งแต่เกมแรกเลยหรือไม่
ส่วนทางฝั่ง ลิเวอร์พูล การจากไปของ ซาดิโอ มาเน่ ย่อมต้องมีผลอยู่บ้างไม่มากก็น้อย และดูจะรุนแรงกว่าทางฝั่ง ซิตี้ ที่เสีย สเตอร์ลิ่ง กับ เชซุส ไปพร้อมกันเสียด้วยซ้ำ เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มาเน่ คือกองหน้าคนสำคัญของทีมหงส์แดงมาโดยตลอด
อย่างไรก็ตาม การมาของ หลุยส์ ดิอาซ เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ก็พอจะช่วยอุดช่องว่างตรงฝั่งซ้ายของทีมไปได้พอสมควรเช่นกัน เพราะปีกชาวโคลอมเบียรายนี้ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าแทบจะไม่ต้องการเวลาในการปรับตัวอะไรเลย แต่กลับเล่นได้เข้ากับเพื่อนร่วมทีมตั้งแต่นัดแรกที่ได้ลงสนาม กลายเป็นการซื้อที่ยอดเยี่ยมอีกครั้งของทีมหงส์แดง และถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมากๆ ที่ดึง ดิอาซ มาตั้งแต่ช่วงกลางฤดูกาล
เพราะการมีอยู่ของ ดิอาซ นี่แหละ ถือว่ามีส่วนช่วยอย่างมากที่ทำให้ ลิเวอร์พูล มีลุ้นถึง 4 แชมป์ในฤดูกาลที่แล้ว แม้ว่าสุดท้ายจะได้มาแค่สองรายการเท่านั้น
ที่น่าเป็นห่วงอยู่บ้างก็น่าจะเป็นในรายของ นูนเญซ เพราะตั้งแต่ลงเล่นในช่วงปรีซีซั่นที่ผ่านมา กองหน้าอุรุกวัยยังไม่ได้งัดฟอร์มที่โดดเด่นออกมาให้แฟนหงส์ได้ชื่นใจเลย โอเคว่าอาจจะเป็นแค่เกมอุ่นเครื่องก็จริง แต่อย่างน้อยก็น่าจะโชว์ความเหนือชั้นอะไรออกมาให้ได้เรียกเสียงฮือฮาสักหน่อย แต่เท่าที่ดูจนถึงตอนนี้ บางที นูนเญซ อาจจะต้องการเวลาในการปรับตัวอยู่บ้างพอสมควร
ด้วยค่าตัวที่แพงเป็นสถิติสโมสร ย่อมต้องทำให้ นูนเญซ ต้องรู้สึกถึงความกดดันอยู่ไม่น้อย ก็อยู่ที่เจ้าตัวแล้วว่าจะจูนฟอร์มของตัวเองให้เข้ากับทีมใหม่ได้เร็วแค่ไหน ถ้าประตูแรกมาเร็ว ก็น่าจะทำให้คลายความกดดัน และเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง
ดังนั้น การปะทะกันระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนฯ ซิตี้ ใน คอมมูนิตี้ ชิลด์ วันที่ 30 กรกฎาคมนี้ ถือว่าเป็นการวัดกันยกแรกของสองทีมที่เป็นตัวเต็งแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลที่กำลังจะมาถึงอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคุณภาพของเกมฟุตบอลที่อยู่ในระดับสูงอยู่แล้วทั้งคู่ รวมถึงการเสริมทัพที่ทำได้น่าสนใจไม่แพ้กัน
เกมนี้โดยปกติแล้วอาจจะไม่ใช่เกมที่ต้องลงไปเตะกันอย่างเอาเป็นเอาตาย การได้ครองโล่การกุศลอาจจะไม่ใช่เกียรติยศชิ้นสำคัญอะไร แต่ในเมื่อ ลิเวอร์พูล ต้องโคจรมาเจอกับ แมนฯ ซิตี้ แล้ว ใครที่เป็นฝ่ายชนะไปได้ก่อน ย่อมถือเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยที่ดี และน่าจะเป็นการออกสตาร์ทฤดูกาลใหม่ด้วยความมั่นใจ อีกนัยหนึ่งก็คือพร้อมแล้วสำหรับการไล่ล่าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
ยิ่งปีนี้เป็นฤดูกาลที่ปฏิทินไม่ปกติ เพราะมีศึกฟุตบอลโลกมาคั่นกลางในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม ดังนั้นการออกตัวที่ดีในช่วง 10 เกมแรก จะทำให้ทีมมีโอกาสสูงที่จะมีลุ้นแชมป์ไปจนถึงช่วงบั้นปลายของฤดูกาล
ดังนั้น การพบกันระหว่าง หงส์แดง และ เรือใบสีฟ้า ในช่วงปลายเดือนนี้ จึงเป็นเกมที่คอบอลตัวจริงไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง! และสมาชิกทรูวิชั่นส์ สามารถติตตามการถ่ายทอดสดของเกมคอมมูนิตี้ ชิลด์ ได้ ผ่านทางช่องบีอินสปอร์ต 1 ช่อง 607 ในวันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคมนี้ ตั้งแต่เวลา 23.00 น. เป็นต้นไป
ภาพจาก Getty Images
อัปเดตข่าวล่าสุดก่อนใคร :
Website : www.truevisions.co.th
Facebook : Truevisions
Twitter : @TrueVisions
Line : @Truevisions
Youtube official : Truevisionsofficial
Instagram : Truevisionsofficial